กรมสรรพสามิต ได้บทเรียนอย่างไร? จากมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า
โฆษกกรมสรรพสามิต ห่วงนักลงทุนผลิตผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยไม่ทันเงื่อนไขรัฐแจงมีโทษหนัก เล็งพิจารณาสิทธิประโยชน์การลงทุนเพื่อความเท่าเทียม
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิตในฐานะโฆษก กรมสรรพสามิต เปิดเผยภายในพิธีลงนามแสดงเจตจำนงเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ว่า มาตรการสนับสนุนการส่งเสริมให้เกิดการผลิตและใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยของรัฐบาลนับตั้งแต่ปี 2565-2568 เป็นมาตรการส่งเสริมระยะสั้นโดยมีวัตถุประสงค์การผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค และเป็นประเทศฐานการผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ 1 ใบ 10 แห่งของโลก
ดีลใหญ่สุดในรอบ 20 ปี WHA ขายที่ดินให้ BYD ตั้งโรงงานผลิตรถอีวี
โตโยต้า ร่วมมาตรการหนุนรถยนต์ไฟฟ้า 29 เม.ย. นี้ ลงนามกับ กรมสรรพสามิต
มาตรการอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า 1.5 แสนบาท ดันยอดจดทะเบียนทะลุ 1 หมื่นคัน
ทั้งนี้ มีเป้าหมายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสัดส่วน 30% ของกำลังการผลิตในประเทศไทยปี 2573 โดยมาตรการส่งเสริมดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ มาตรการลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฟฟ้า จาก 8% เหลือ 2% และมาตรการมอบเงินอุดหนุนสูงสุด 1.5 แสนบาท โดยมีเงื่อนไขให้สามารถนำเข้ามาจำหน่ายได้ในช่วงปี 2565-2566 และหลังจากนั้นจะต้องมีการผลิตชดเชยตามจำนวนการนำเข้ามาจำหน่ายในสัดส่วน 1:1 ในปี 2567 และ 1:1.5 ในปี 2568
พร้อมกันนี้ ภายหลังคณะรัฐมนตรีอนุมัติกรอบวงเงินสำหรับใช้ในมาตรการมอบเงินอุดหนุนสูงสุด 1.5 แสนบาท ในปี 2565 จำนวน 3,000 ล้านบาท และยังได้อนุมัติกรอบวงเงินอุดหนุนในช่วง 2566-2568 อีกจำนวน 40,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอต่อปริมาณความต้องการของผู้บริโภคตลอดโครงการอย่างแน่นอน
"ปัจจุบันมียอดจดทะเบียนเสียภาษีแล้วจำนวนราว 400 คัน และมียอดขายรอจดทะเบียนอีกราว 1,700 คัน ซึ่งหากคิดจากวงเงินในปีแรก ยอดจดทะเบียนและยอดขายดังกล่าว ยังเพียงพอต่อวงเงินในปีแรกอยู่"
ขณะที่ ปัจจุบันมีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์แสดงเจตจำนงเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าแล้วจำนวน 5 ราย ได้แก่ เกรทวอลล์ มอเตอร์, เอ็มจี, โตโยต้า, ไมน์ โมบิลิตี และ เรเว่ ออโตโมทีฟ รวมถึงบริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ อย่าง เอช เซม มอเตอร์
นอกจากนี้่ คาดว่าภายในสิ้นปี 2565 จะมีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เข้ายื่นแสดงเจตจำนงเข้าร่วมมาตรการอีกไม่น้อยกว่า 3 ราย ทั้งสัญชาติ ญี่ปุ่น และ จีน เช่นเดียวกับ ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ อีกไม่น้อยกว่า 2 ราย
อย่างไรก็ตาม กรมสรรพสามิต มีความเป็นห่วงการเข้ายื่นแสดงเจตจำนงเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของผู้ผลิตรายต่าง ๆ เนื่องจากการใช้เวลาก่อสร้างโรงงานจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี ดังนั้นอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะไม่สามารถผลิตได้ทันตามแผนและกรอบเงื่อนไขของมาตรการที่วางไว้ ซึ่งหากผู้ผลิตไม่สามารถทำตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้จะต้องมีเบี้ยปรับเงินเพิ่ม 2 เท่าของภาษีสรรพสามิตที่ลดลง 6% พร้อมเงินเพิ่ม 7.5% ต่อปี รวมถึงการเรียกคืนเงินอุดหนุนตามที่ได้รับ
ผู้สื่อข่าวถามว่า จากกรณีเม็ดเงินลงทุนของผู้ประกอบการที่มีความต่างกัน อาทิ บางรายใช้การจ้างบริษัทผลิตไม่มีการลงทุนก่อสร้างโรงงานแต่ได้รับสิทธิประโยชน์เท่าเทียมกันจะเป็นความเหลื่อมล้ำด้านการลงทุนหรือไม่ นายณัฐกร กล่าวว่า กรมฯ รับรูปถึงปัญหาดังกล่าวในแง่เม็ดเงินการลงทุนเข้าประเทศ แต่ในแง่การถ่ายทอดเทคโนโลยีนั้น ไม่ว่าจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยรูปแบบไหนประเทศไทยจะได้ประโยชน์อย่างแน่นอน
ดังนั้น บริษัทที่มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านบาท จะต้องให้ธนาคารค้ำประกันในวงเงิน (แบงค์การันตี) ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทที่มีมูลค่าการลงทุนน้อยกว่า 5,000 ล้านบาทจะต้องมีเบงค์การันตรีไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาล
"มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันถือเป็นระยะที่ 3 (เฟส3) แล้ว ดังนั้นเราอาจจะต้องเก็บเอาบทเรียนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงทุนน้อยหรือมาก แต่ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเท่ากันมาพิจารณาในอนาคตหลังจากนี้ถึงมูลค่าการลงทุนและสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ"
นายณัฐกร กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์การขาดแคลนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ชิป) และชิ้นส่วนการผลิตสำคัญอื่น ๆ ทั่วโลก, ปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นปัญหาที่คาดไม่ถึงสำหรับมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าส่งผลให้ปัจจุบันความคืบหน้าของมาตรการดังกล่าวอยู่ในระดับเพียง 50-60% เท่านั้น ซึ่งคาดการณ์เดิมของเรามองว่าหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 สิ้นสุดลงมาตรการดังกล่าวจะได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุน