มาตรฐานยูโร 5 คืออะไร แก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้จริงหรือไม่ ?
ทำความรู้จักมาตรฐานการปล่อยไอเสีย (ยูโร) ควบคุมการปล่อยมลพิษของเครื่องยนต์ก่อนในประเทศไทยประกาศใช้ มาตรฐานยูโร 5 ในวันที่ 1 ม.ค. 67
การประกาศบังคับใช้มาตรฐานการปล่อยไอเสียยูโร 5 (มาตรฐานยูโร 5) หรือ EURO 5 สำหรับรถยนต์ใหม่ในประเทศไทย ประกาศให้มีผลบังคับใช้ครั้งแรกตั้งแต่ 1 มกราคม 2564 แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดได้ตามระยะเวลาดังกล่าว จึงได้เลื่อนกำหนดเวลาบังคับใช้ออกไป
ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ ปรับเปลี่ยนกำหนดเวลาบังคับใช้มาตรฐานยูโร 5 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป
มาตรฐานยูโร 5 ประกาศบังคับใช้ 1 ม.ค. 2567 แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5
ครม.นัดแรกของปีกระต่าย แผนเฉพาะกิจแก้ปัญหา PM 2.5 ปี 66
PPTV Online พาทุกท่านไปรู้จักกับ มาตรฐานการปล่อยไอเสีย (มาตรฐานยูโร) มีที่มาที่ไปอย่างไร และ มาตรฐานยูโรในระดับต่าง ๆ มีความต่างอย่างไร
มาตรฐานยูโร หรือ EURO ย่อมาจาก EUROPEAN EMISSION STANDARDS ที่เป็นการควบคุมมลพิษจากสหภาพในยุโรปที่ได้มีการวางมาตรการในการควบคุมมลพิษตั้งแต่ปี ค.ศ.1992 โดยนับเป็น มาตรฐานยูโร 1 (EURO 1) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งมีการควบคุมยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้มีการเผาไหม้ไม่ให้เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด ทำให้ผู้ผลิตทั่วโลกได้มีการพัฒนาเครื่องยนต์ให้ปล่อยมลพิษออกมาน้อยที่สุด มีการแบ่งออกเป็นประเภท และขนาดของเครื่องยนต์ จนมีการพัฒนาเครื่องยนต์มาอย่างต่อเนื่อง โดยพื้นฐานได้มีการวัดอะไรบ้างดังนี้
- คาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO)
- สารไฮโดรคาร์บอน (HC)
- สารไนโตรเจนออกไซด์ (NOx)
- สารมลพิษอนุภาคและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM)
สำหรับปัจจุบันในประเทศไทยมีการบังคับใช้ มาตรฐานยูโร 4 ที่มีการบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน ยูโร 4 ที่กำหนดปริมาณการปล่อยมลพิษที่จะต้องไม่เกินค่าดังนี้
- คาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) ต้องไม่เกิน 1 กรัม/กม.
- สารไฮโดรคาร์บอน (HC) ต้องไม่เกิน 0.1 กรัม/กม.
- สารไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ต้องไม่เกิน 0.08 กรัม/กม.
- สารมลพิษอนุภาคและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ต้องไม่เกิน - กรัม/กม.
เครื่องยนต์ดีเซลยูโร 4
- คาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) ต้องไม่เกิน 0.5 กรัม/กม.
- สารไฮโดรคาร์บอนและ สารไนโตรเจนออกไซด์ (HC+NOx) ต้องไม่เกิน 0.3 กรัม/กม.
- สารไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ต้องไม่เกิน 0.25 กรัม/กม.
- สารมลพิษอนุภาคและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ต้องไม่เกิน 0.025 กรัม/กม.
ขณะที่ มาตรฐานยูโร 5 ที่จะมีการบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน ยูโร 5 ที่กำหนดปริมาณการปล่อยมลพิษที่จะต้องไม่เกินค่าดังนี้
- คาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) ต้องไม่เกิน 1 กรัม/กม.
- สารไฮโดรคาร์บอน (HC) ต้องไม่เกิน 0.1 กรัม/กม.
- สารไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ต้องไม่เกิน 0.06 กรัม/กม.
- สารมลพิษอนุภาคและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ต้องไม่เกิน 0.005 กรัม/กม.
เครื่องยนต์ดีเซลยูโร 5
- คาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) ต้องไม่เกิน 0.5 กรัม/กม.
- สารไฮโดรคาร์บอนและ สารไนโตรเจนออกไซด์ (HC+NOx) ต้องไม่เกิน 0.23 กรัม/กม.
- สารไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ต้องไม่เกิน 0.18 กรัม/กม.
- สารมลพิษอนุภาคและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ต้องไม่เกิน 0.005 กรัม/กม.
ทั้งนี้ มาตรฐานยูโร 5 (EURO 5) เพิ่มความเข้มงวดของการปล่อยฝุ่นละอองจากเครื่องยนต์ดีเซลเป็นอย่างมาก โดยรถยนต์ดีเซลทุกคันต้องติดตั้งตัวกรองฝุ่นละออง ส่วนข้อจำกัด NOx ก็เข้มงวดมากขึ้นเช่นกัน (โดยต้องลดลง 28% เมื่อเทียบกับ EURO 4) และเป็นครั้งแรกที่มีการจำกัดปริมาณฝุ่นละอองสำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่เป็นแบบจุดระเบิดโดยตรง
อย่างไรก็ตาม การกำหนดค่ามาตรฐานไอเสีย (มาตรฐานยูโร) ที่สูงขึ้นจะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและการช่วยลดการปล่อยมลพิษในอากาศ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่สามารถตอบสนองความต้องการและการช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ในที่สุด