ลุยน้ำเท้าเปล่าเสี่ยง"โรคฉี่หนู" ภาวะแทรกซ้อนอันตรายถึงชีวิตแนะวิธีรับมือป้องกันโรค
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า “โรคฉี่หนู” หรือ เลปโตสไปโรซิส พบได้เฉพาะในท้องทุ่งนาหรือพื้นที่ที่มีน้ำท่วมเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง “หนู” ที่อาศัยตามอาคารบ้านเรือน สำนักงานต่างๆ เป็นพาหะของโรคเช่นเดียวกัน ซึ่งนอกจากหนูแล้วยังมีสัตว์นำโรคอื่นอีกด้วย
รู้จัก โรคฉี่หนู (Leptospirosis) โรคคุ้นหนูของใครหลายคน ซึ่งเป็นหนึ่งในภัยที่มาจากน้ำท่วมการลุยน้ำด้วยเท้าเปล่า ฉะนั้นในช่วงหน้าฝนหน้าพายุ รู้ไว้รับมือเพราะอาการของโรคฉี่หนูแม้ตัวโรคเองจะไม่รุนแรงนักแต่ภาวะแทรกซ้อนที่มากับโรคกลับอันตรายถึงชีวิต
โรคฉี่หนูเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีขนาดเล็กมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นชื่อว่า เลปโตสไปร่า (Leptospira) ที่อยู่ในไตและกระเพาะปัสสาวะของสัตว์นำโรค เช่น หนู โค กระบือ สุกร สุนัข แพะ แกะ โดยมีหนูเป็นสัตว์แพร่โรคที่สำคัญ
น้ำท่วมต้องระวัง! 7 โรคติดต่อและอันตรายที่มากับน้ำ
เผย 8 เดือนแรก พบผู้ป่วย“ไข้ฉี่หนู-เมลิออยด์”รวมแล้วกว่า 3 พันคน
สามารถติดต่อได้จาก
- การติดต่อโดยตรงจากการสัมผัสปัสสาวะ หรือ อวัยวะสัตว์ติดเชื้อ
- ติดต่อทางอ้อม โดยการเดินลุยน้ำ หรือ ดินที่ปนเปื้อนเชื้อซึมเข้าทางผิวหนังที่มีบาดแผล นอกจากนี้ยังติดต่อได้จากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ รวมถึงการหายใจเอาละอองน้ำที่มีเชื้อโรคเข้าไป
อาการของผู้ที่ได้รับเชื้อโรคฉี่หนู
ส่วนใหญ่ผู้ที่ได้รับเชื้อโรคฉี่หนูจะไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย มีเพียงประมาณ 10-15% ที่จะมีอาการรุนแรงซึ่งเชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดและกระจายไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย มีระยะฟักตัวก่อนเกิดอาการเร็วหรือช้าในแต่ละคนจะไม่เท่ากัน บางรายมีอาการเร็วภายใน 2 วัน ถึง 1 เดือน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มมีอาการประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังจากรับเชื้อ
การรักษาโรคฉี่หนู แพทย์จะพิจารณาจากอาการและความรุนแรงเป็นหลักโดยมักให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการรักษาตามอาการซึ่งจะต้องรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่งเพื่อให้หายจากโรคและป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
อาการของโรคที่สำคัญของโรคฉี่หนู
อาการทางคลินิกของโรคแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ได้ 2 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มที่ไม่มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง
กลุ่มนี้อาการไม่รุนแรงหลังจากได้รับเชื้อ 10-26 วัน โดยเฉลี่ย 10 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะทันที ไข้สูง 38 -40oC เยื่อบุตาแดง ปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณน่อง โคนขา กล้ามเนื้อหลังและมีอาการกดเจ็บกล้ามเนื้อ
การตรวจร่างกายในระยะนี้ที่สำคัญจะตรวจพบผู้ป่วยตาแดง มีขี้ตาหรือมีน้ำตาไหล คอแดง มีจ้ำเลือดตามผิวหนัง บางรายมีผื่นตามตัว ระยะนี้ถ้าเจาะเลือดจะพบภูมิต่อเชื้อเพิ่ม ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ขึ้นใหม่ ปวดศีรษะ คอแข็ง มีการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง และมีเชื้อออกมาในปัสสาวะ
2.กลุ่มที่มีอาการเหลือง หรืออาการรุนแรง
เป็นอาการที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของตนเอง กลุ่มนี้ไข้จะไม่หาย แต่จะเป็นมากขึ้นโดยพบอาการเหลือง และไตวาย มีผื่นที่เพดานปาก มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ตับ และไตวาย ดีซ่าน เยื่อหุ้มสมองอักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ อาจจะมีอาการไอเป็นเลือด อาการเหลืองจะเกิดวันที่ 4 ของโรค ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิตในระยะนี้หรือในต้นสัปดาห์ที่ 3 จากไตวาย เกิดภาวะเลือดออกง่ายตามอวัยวะต่างๆ และอาจทำให้อวัยวะต่างๆ ทำงานล้มเหลวและเป็นอันตรายถึงชีวิตในที่สุด กลุ่มนี้ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลและฉีดยาปฏิชีวนะเข้าสู่กระแสเลือดหรือหากมีอวัยวะเสียหายอาจต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆเพิ่มเติมเช่นถ้าไตเสียหายอาจต้องล้างไตเป็นต้น
ทั้งนี้หากมีอาการป่วยด้วยไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ หนาวสั่น ตาแดง ปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
โรคยอดฮิตที่มากับ “น้ำท่วม” ป้องกันดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้ป่วย
การควบคุมและกำจัดแหล่งรังโรค
- หมั่นล้างมือภายหลังจับต้องเนื้อ ซากสัตว์ และสัตว์ทุกชนิด
- หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำที่ชื้นแฉะหรือมีน้ำขังด้วยเท้าเปล่า ควรสวมรองเท้าบู๊ทเพื่อป้องกัน
- หลังเสร็จภารกิจที่ต้องสัมผัสน้ำหรือที่ชื้นแฉะแล้ว ควรรีบอาบน้ำชำระร่างกาย หรือล้างมือ ล้างเท้า ให้สะอาดทันที
- กำจัดหนู ซึ่งเป็นพาหะนำโรค
- ปรับปรุงสุขาภิบาลที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมให้สะอาด
- ปิดฝาถังขยะ และหมั่นกำจัดขยะโดยเฉพาะเศษอาหาร ไม่ให้เป็นแหล่งอาหารของหนู
- พื้นคอกของสัตว์เลี้ยง ควรเป็นพื้นชีเมนต์ ผิวเรียบ ดูแลให้แห้งอยู่เสมอ ไม่ให้มีน้ำหรือปัสสาวะสัตว์ขังอยู่
- เมื่อสัตว์เลี้ยงป่วย ต้องแจ้งให้สัตวแพทย์รักษาโดยเร็ว
- เมื่อป่วยหรือมีอาการน่าสงสัย ควรรีบพบแพทย์ เพื่อจะได้รับการตรวจรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อท่านจะได้ปลอดภัยจากโรค
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก : โรงพยาบาลพญาไท,โรงพยาบาลกรุงเทพ,กระทรวงสาธารณสุข
แนะวิธีป้องกันไฟดูดช่วงน้ำท่วมและการปฐมพยาบาลอย่างถูกต้อง
สภาพอากาศวันนี้! อีสานอ่วมหนักฝนกระจายวงกว้าง กลาง-ตะวันออก-กทม.โดน 80%