เฮนดรา – นิปาห์ ไวรัสตระกูลเดียวกับน้องใหม่ “เลย์วี” ยังไม่มียารักษา
" เลย์วี" ไวรัสชนิดใหม่ ที่เป็นไวรัสตระกูลเดียวกับไวรัสเฮนดราและไวรัสนิปาห์ แพร่ระบาดได้จากสัตว์สู่คน ขึ้นบัญชีโรคโรคติดต่ออันตรายแต่ยังไม่พบในไทย
ไวรัสเฮนดรา และไวรัสนิปาห์ เป็นชนิดที่ก่อโรคในสัตว์ เช่นเดียวกับเชื้อไวรัสลางยาเฮนิปาห์ หรือเลย์วี ที่เป็นเชื้อไวรัสชนิดใหม่ ในประเทศจีน พบผู้ติดเชื้อในมณฑลซานตง และเหอหนานแล้วอย่างน้อยแล้ว 35 คน
ไวรัสไวรัสนิปาห์ ส่วนใหญ่ติดได้จากการสัมผัสหมูที่ติดเชื้อโดยตรง ก่อโรคไข้สมองอักเสบเป็นหลัก ด้านไวรัสเฮนดราส่วนใหญ่ติดได้จากการสัมผัสม้าที่ติดเชื้อโดยตรง หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์ติดเชื้อ ก่อโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ และเยื่อหุ้มสมองอักเสบแบบไม่รุนแรง
จีนพบไวรัสชนิดใหม่ “เลย์วี” จากสัตว์สู่คน คาดต้นตอ"หนูผี"
ตอบหลายข้อสงสัย "โรคฝีดาษลิง" รู้รับมือแบบไม่ตื่นตระหนก
ลักษณะของทั้งสองไวรัสอยู่ในสกุล Henipaviruses วงศ์ Paramyxoviridae มีจีโนม RNA ลักษณะเป็นสายเดี่ยว (single-stranded, nonses-mented, negative-sense RNA genome) โดยทั้ง 2 ชนิดเป็นโรคติดต่ออันตรายของไทย ตาม พรบ.โรคติดต่อพ.ศ. 2558 ด้วย
อาการของโรค
มีลักษณะคล้ายคลึงกัน มีตั้งแต่เบาไปหาหนัก มีไข้สูง ปวดศีรษะ เจ็บคอ วิงเวียน ซึมและสับสนหรืออาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบผิดปกติ อาการเพียงเล็กน้อยไปจนถึงมีอาการมาก โคม่า และหรือระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิต ในผู้ป่วยไวรัสนิปาห์จะมีอาการอักเสบของสมองเป็นส่วนใหญ่ อาจทำให้วินิจฉัยว่า เป็นไข้สมองอักเสบ ส่วนหนึ่งจะมีแสดงอาการของปอด ผู้ป่วยทั้งหมดที่มีชีวิตรอดจาก สมองอักเสบเฉียบพลันจะสามารถฟื้นตัวได้เป็นปกติ แต่มีประมาณร้อยละ 20 ที่พบร่องรอยความบกพร่องของระบบประสาท อัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 40 และพบว่าในคนที่มีการติดเชื้อไวรัสบางรายไม่แสดงอาการ
"ไข้หวัดใหญ่" โรคติดต่อที่ควรระวัง ปีนี้คนไทยป่วยแล้วกว่า 3,510 ราย
"หมอแล็บ" เผยข้อมูลจาก CDC ใส่หน้ากากอนามัยช่วยป้องกัน "ฝีดาษลิง" ได้
ระยะฟักตัวของโรค : ประมาณ 4 - 18 วัน
การรักษา : ปัจจุบันยังไม่มียาและวัคซีนในการรักษา แต่มีรายงานพบว่า ยาไรบาวิริน (Ribavirin) อาจจะลดอัตราการตายจากไวรัสนิปาห์ได้
การป้องกันโรคจากสัตว์
- ลดการสัมผัสกับสัตว์โดยตรง สวมใส่ชุดป้องกัน ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งเมื่อมีการสัมผัส
- ทานอาการปรุงสุก
- เผาทําลายซากม้าและหมูที่ติดเชื้อ โดยการควบคุม ดูแลของหน่วยงานรัฐ
- ห้ามขนย้ายสัตว์ออกจากบริเวณที่มีการระบาดของ โรค
- แยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อ หากปรากฏการแพร่เชื้อจากคนสู่คน
สถานการณ์โรคในประเทศไทย
ยังไม่เคยพบผู้ป่วยในประเทศไทย แต่จากการศึกษาของศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา และคณะในปี พ.ศ. 2546จากการสำรวจค้างคาวในบางจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทยพบว่า ค้างคาวแม่ไก่ ร้อยละ 7 มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสนิปาห์ และพบสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสนิปาห์ในนํ้าลายและปัสสาวะของค้างคาวแม่ไก่ด้วย ดังนั้นพื้นที่เสี่ยงทางภาคใต้ จึงควรเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและป้องกันไม่ให้โรคแพร่มายังสัตว์เลี้ยงตามมาตรการของกรมปศุสัตว์
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก : สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย , กรมควบคุมโรค
รู้จัก “HIV” มีอาการ-ติดต่ออย่างไร ทำไมไม่ควรนำมาเทียบ “ฝีดาษลิง”