"ยุง"กัดหนึ่งครั้งไม่ใช่แค่เสี่ยงไข้เลือดออก แต่เสี่ยงหลายโรคอันตรายถึงชีวิต
ยุุงถือเป็นพาหะนำโรคที่ร้ายแรง รู้จักอาการโรคที่เกิดจากยุง พร้อมวิธีรักษาและการป้องกัน
ยุงเป็นแมลงขนาดเล็กและมีวงจรชีวิตที่ไม่นานแต่มีมากกว่าสามพันชนิด ยังสามารถวางไข่ได้มากถึง 50-150 ฟองต่อครั้งตลอดชีวิตของมัน จึงไม่แปลกที่เราจะพบเจอยุงได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และพบเจอได้แทบจะทุกสถานที่เลยทีเดียวซึ่งถือเป็นพาหะนำโรคร้ายมาสู่คนได้หลายชนิดจากการถูกกัดเพียงแค่ 1 ครั้ง
-
โรคติดเชื้อไวรัสเดงกี หรือไข้เลือดออก (Dengue Hemorrhagic Fever-DHF)
-
โรคไข้มาลาเรีย (Malaria)
-
ไข้ชิคุนกุนยา หรือ ไข้ปวดข้อยุงลาย(Chikungunya)
-
ไข้สมองอักเสบ(Encephalitis)
"มาลาเรีย" ภัยร้ายจากยุง ป่วยเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนอันตรายถึงชีวิต
แนะนำ 8 สมุนไพรไล่ยุง พร้อมเผยวิธีการทำสเปรย์ตะไคร้หอม
-
โรคติดเชื้อไวรัสซิกาหรือ ไข้ซิกา (Zika Virus Disease)
-
โรคเท้าช้าง (Elephantiasis)
อาการของโรคที่เกิดจากยุง
ไข้เลือดออก
โรคติดเชื้อไวรัสเดงกีที่มียุงลายเป็นแมลงนำโรค โดยมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 ซึ่งในประเทศไทยพบมีการระบาดของทั้งสี่สายพันธุ์ในแต่ละพื้นที่ จึงมีโอกาสที่จะเป็นโรคไข้เลือดออกซ้ำ จากเชื้อคนละตัวได้
อาการไข้เลือดออก : ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเด็งกี่ ส่วนใหญ่จะมีไข้สูง
- ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูกและมีจุดแดงที่ผิวหนัง ถ้าได้รับการรักษาถูกต้องและทันเวลา
- ผู้ป่วยจะหายได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ในรายที่มีอาการไม่รุนแรง เมื่อไข้ลดลงอาการต่างๆ จะดีขึ้น ส่วนใหญ่ไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว
โรคมาลาเรีย
มี “ยุงก้นป่อง” เป็นพาหะนำโรค ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มักอาศัยอยู่บริเวณชายป่าและพื้นที่ที่มีน้ำขังตามธรรมชาติ
ระยะของอาการป่วยด้วยโรคมาลาเรีย
- ระยะแรก คือ จะมีอาการหนาวสั่น ตัวเย็น ชีพจรเต้นเร็ว มีอาการเกร็ง ปัสสาวะบ่อย อุณหภูมิค่อยๆ สูงขึ้น ระยะนี้ใช้เวลา 15-60 นาที เป็นระยะการแตกของเม็ดเลือดแดงที่มีเชื้อมาลาเรีย
- ระยะร้อน ผู้ป่วยจะมีไข้สูงถึง 40° ตัวร้อน ลมหายใจร้อน หน้าแดง ปากซีด และกระหายน้ำ ชีพจรเต้นเร็วและแรง ปวดศีรษะลึกเข้าไปในกระบอกตา ระยะนี้ใช้เวลา 1-3 ชั่วโมง
- ระยะเหงื่อออก เมื่อสร่างไข้ ไข้ลดลง ผู้ป่วยจะเหงื่อออกและเข้าสู่ภาวะปกติ ระยะเหงื่อออกใช้เวลา 2-4 ชั่วโมง
การรักษา
- ทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อให้โรคหายขาดและป้องกันการดื้อยา
- ไม่ควรซื้อยามาทานยาเองเพื่อป้องกันการดื้อยา
- อาจมีความจำเป็นต้องใช้ยาฉีดเข้าหลอดเลือดเพื่อรักษามาลาเรีย ผู้ป่วยจะต้องให้ความร่วมมือ เพื่อการหายขาดและไม่เกิดภาวะดื้อยาเช่นกัน
โรคชิคุนกุนยา
มีอาการคล้ายไข้เลือดออกและไข้เดงกี แต่ต่างกันเพราะไม่มีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด ระยะฟักตัว ทั่วไปประมาณ 1-12 วัน
อาการของโรค : ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงอย่างฉับพลัน มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย และอาจมีอาการคันร่วมด้วย พบตาแดง แต่ไม่ค่อยพบจุดเลือดออกในตาขาว ปวดข้อ ซึ่งอาจพบข้ออักเสบได้
การรักษา : ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่จำเพาะเจาะจงสำหรับโรคชิคุนกุนยา ส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการและประคับประคอง เช่น ยาลดอาการไข้ ปวดข้อ และการพักผ่อน
วัคซีนป้องกัน "ไข้เลือดออก" ฉีดได้ทุกวัย ช่วยลดเสี่ยงป่วยอาการรุนแรง
ไข้สมองอักเสบ
เกิดจากติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่สมอง เป็นโรคที่ถ่ายทอดกันอยู่ในระหว่างสัตว์ โดยมียุงเป็นพาหะนำเชื้อ เมื่อถูกยุงกัดเชื้อที่อยู่ในเลือดของสัตว์จะเจริญแพร่พันธุ์ในตัวยุง เมื่อยุงกัดผู้ใดก็จะแพร่เชื้อเข้าสู่ผู้ที่ถูกกัด ซึ่งบางคนอาจไม่มีอาการแสดงหรือไม่มีอาการป่วยเป็นโรค แต่บางคนจะป่วยเป็นไข้สมองอักเสบได้
อาการ : มีไข้สูงปานกลาง ปวดศีรษะมาก และเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนบ่อย ต่อมาจะมีอาการไข้สูงตลอดเวลา แม้กินยาลดไข้ก็ยังไม่ได้ผล และมีอาการซึมลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่รู้สึกตัว อาจมีอาการตัวเกร็งแข็ง หรือชักกระตุก หรือแขนขาเป็นอัมพาตร่วมด้วย
การรักษา : ปัจจุบันยังไม่มียารักษา ทำได้เพียงแค่รักษาตามอาการ คือ ลดอาการบวมของสมอง ดูแลระบบทางเดินหายใจ ให้ยาระงับอาการชัก ความคุมความดันของสมองและความดันโลหิต
ไวรัสซิกา
ไวรัสซิกาเป็นไวรัสซึ่งอยู่ในตระกูลฟลาวิไวรัส (Flavivirus) จำพวกเดียวกับไวรัสไข้เหลือง ไวรัสเดงกี และมียุงลายเป็นพาหะเช่นเดียวกัน
อาการ : อาการแสดงคล้ายไข้หวัดใหญ่ โดยจะมีไข้ ผื่น ปวดตามข้อ และตาแดง บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ ผู้ป่วยที่มีอาการหนักอาจต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล อัตราการเสียชีวิตยังพบน้อย
การรักษา : ส่วนใหญ่เป็นการดูแลตามอาการเป็นหลัก ยาต้านไวรัสหรือวัคซีนยังไม่มี เนื่องจากในประเทศนั้นตัวโรคมีความคล้ายคลึงกับไข้เลือดออกและไข้หวัดใหญ่ จึงมีข้อควรระวังเนื่องจากอาจจะแยกโรคได้ยากในช่วงต้น คือ การงดใช้ยาแก้ปวดและลดไข้กลุ่ม NSAIDs เนื่องจากรบกวนการทำงานของเกล็ดเลือดและเสี่ยงต่อการมีเลือดออกง่าย
โรคเท้าช้าง
โรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้ายอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลือง โดยมียุงเป็นพาหะนำโรค
อาการ : คนที่มีอาการมักจะเกิดจากการที่ถูกยุงที่มีเชื้อพยาธิเท้าช้างกัดซ้ำหลายครั้ง อาการในระยะแรก ผู้ป่วยอาจมีไข้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมและท่อน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรืออัณฑะ เนื่องจากพยาธิตัวแก่ที่อยู่ในท่อน้ำเหลืองสร้างความระคายเคืองแก่เนื้อเยื่อภายใน รวมทั้งมีการปล่อยสารพิษออกมาด้วย อาการอักเสบจะเป็นๆ หายๆ อยู่เช่นนี้ และจะกระตุ้นให้เกิดอาการบวมขึ้น หากเป็นนานหลายปีจะทำให้อวัยวะนั้นบวมโตอย่างถาวรและผิวหนังหนาแข็งขึ้นจนมีลักษณะขรุขระ
การรักษา : การรักษาโรคเท้าช้างจะมุ่งเน้นไปที่การป้องกันไม่ให้เชื้อติดต่อไปยังผู้อื่นด้วยการรับยากำจัดพยาธิเพื่อลดปริมาณพยาธิให้น้อย จนกระทั่งผู่ป่วยไม่สามารถกระจายเชื้อต่อไปได้
วิธีป้องกันโรคจากยุง
- ฉีดวัคซีนป้องกัน เช่น โรคไข้เลือดออก ไข้เหลือง ไข้สมองอักเสบเจอี เป็นต้น
- สวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกายให้มิดชิด
- นอนกางมุ้ง โดยเฉพาะเมื่อพักแรมในป่า
- ทาหรือจุดยากันยุง
- บ้านพักอาศัยควรทำลายที่น้ำท่วมขังซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
- ถ้าต้องเข้าไปอยู่ในเขตที่มีไข้มาลาเรียควรปรึกาาแพทย์เพื่อป้องกันไว้ล่วงหน้า
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลพญาไท 2, โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล