หนังตาตก-เห็นภาพซ้อน!สัญญาณ‘กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง’ โรคฮิตวัยทำงานอาจอันตรายถึงชีวิต
‘กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง’ โรคฮิตคนวัยทำงานอาจอันตรายถึงชีวิต แนะหนังตาตก-เห็นภาพซ้อนบ่อยๆ ควรพบแพทย์
“…หนังตาตก ลืมตาไม่ขึ้น มองเห็นภาพซ้อน หลายคนชะล่าใจคิดว่าเป็นภาวะที่เกิดขึ้นตามวัย หรือการจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน แต่จริงๆ แล้วอาจเป็นสัญญาณปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่าที่คิด…”
นี่เป็นข้อมูลจาก รศ.พญ.พริมา หิรัญวิวัฒน์กุล ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลของโรค “กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง” ซึ่งเป็นโรคฮิตของคนวัยทำงานที่ซ่อนปัญหาใหญ่กว่าที่คิด เพราะหลายคนมักสับสนกับภาวะ “ตาล้าหรือตาแห้ง” จากการใช้ชีวิตประจำวันปกติ
5 อาการป่วยโควิดรุนแรง ที่ต้องส่งรักษาต่อในโรงพยาบาล
4 อาการ Long Covid พบบ่อย ส่งผลต่อ "ระบบหัวใจและปอด" หลังป่วยโควิด-19
รู้จักโรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
รศ.พญ.พริมา หิรัญวิวัฒน์กุล กล่าวว่า โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ Myasthenia Gravis มักเรียกกันย่อๆ ในกลุ่มแพทย์และผู้ป่วยว่า “โรค MG” เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายส่วนของระบบร่างกาย แต่หากเกิดกับกล้ามเนื้อบริเวณดวงตาจะทำให้เกิด "โรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง" หรือ “Ocular Myasthenia Gravis” เป็นภาวะที่เปลือกตาหรือกล้ามเนื้อยึดลูกตาอ่อนแรงหลังจากใช้งานไประยะหนึ่ง
อาการสำคัญคือ หนังตาตก ลืมตาไม่ขึ้น โฟกัสภาพไม่ได้ เกิดภาพซ้อน ลักษณะคือเห็นภาพ 2 ภาพเหลื่อมกันหรือเห็นภาพแยกออกจากกัน เนื่องจากแนวการมองของดวงตาทั้งสองข้างไม่มองไปในตำแหน่งเดียวกัน แต่หากผู้ป่วยปิดตาข้างใดข้างหนึ่ง ภาพซ้อนดังกล่าวจะหายไป
“ลักษณะสำคัญของโรค MG คือ อาการจะไม่คงที่ เป็นๆ หายๆ เมื่อไรที่ผู้ป่วยได้พักผ่อนเต็มที่ ไม่เหนื่อยล้า อาการก็จะดีขึ้น แต่พอใช้งานสายตาไปสักพัก อาการก็จะแย่ลง เช่น เวลาตื่นนอนตอนเช้า ดวงตามีขนาดเท่ากัน แต่พอบ่ายๆ กล้ามเนื้อดวงตาเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลาที่ใช้งาน หนังตาจะเริ่มตกลงเรื่อยๆ โฟกัสภาพไม่ได้ เห็นภาพซ้อน” รศ.พญ.พริมา กล่าว
สิ่งที่ต้องระวัง คือ โรค MG ที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อตาอาจจะเป็นอาการนำของโรค MG แบบทั่วร่างกายได้ ก่อให้เกิดปัญหาระบบการกลืนและการหายใจที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่โอกาสที่จะเกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงทั่วตัวได้นั้น ค่อนข้างน้อย
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโอกาสเกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงทั่วตัวได้ค่อนข้างน้อย แต่แพทย์ต้องวินิจฉัยด้วยว่าอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงที่ผู้ป่วยเป็นอยู่นั้นมีอาการกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ของร่างกายร่วมด้วยหรือไม่
“ในช่วงแรกๆ ที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์ จะต้องมีการสังเกตอาการเป็นระยะๆ ว่าอาการที่ตาแล้ว มีอาการอื่นอีกหรือไม่ เช่น เวลารับประทานอาหาร มีอาการกลืนติด กลืนลำบาก สำลักบ่อย เวลาพูดบรรยายหรือร้องเพลง ช่วงแรกๆ เสียงจะยังเป็นปกติ ต่อมาเริ่มเสียงเปลี่ยน เสียงพูดเบาลง หรือหายใจไม่เต็มอิ่ม กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงเมื่อใช้งาน และอาการดีขึ้นหลังได้พักผ่อน หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้” รศ.พญ.พริมา กล่าว
สาเหตุการเกิดโรค
รศ.พญ.พริมา กล่าวอีกว่า โรค MG เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่บริเวณรอยต่อระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อลาย ทำให้สารสื่อประสาททำงานลดลง และมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งสามารถพบได้ในทุกช่วงวัย เพราะโดยปกติร่างกายของคนเรา เวลาที่จะใช้ทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง สมองจะสั่งการผ่าน เส้นประสาท แล้วเส้นประสาทจะหลั่งสารสื่อประสาทไปยังกล้ามเนื้อ ซึ่งจะมีตัวรับสารสื่อประสาทอยู่บนตัวกล้ามเนื้อนั้นๆ ทำให้กล้ามเนื้อกดตัว ทำงานได้ตามปกติ
“ความผิดปกติของโรค MG เกิดจากการที่ร่างกายของเราสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติขึ้นมา โดยจะมีภูมิคุ้มกันอยู่จำพวกหนึ่งที่ชอบเข้าไปแย่งสารสื่อประสาทกับตัวรับบริเวณกล้ามเนื้อ ทำให้สารสื่อประสาทที่หลั่งออกมาจากเส้นประสาททำงานได้น้อยลง กล้ามเนื้อจึงอ่อนแรงลงตามระยะเวลาการใช้งานและสารสื่อประสาทที่ลดลง" รศ.พญ.พริมา กล่าว
รศ.พญ.พริมา กล่าวเพิ่มเติมว่าโรค MG สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ซึ่งหากคนในครอบครัวเคยป่วยด้วยโรคนี้ สมาชิกในครอบครัวก็มีโอกาสจะป่วยด้วยโรคนี้ได้เช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาที่พบว่าโรค MG มักจะมาคู่กับโรคไทรอยด์ถึงประมาณ 10-15% ดังนั้น คนที่ป่วยเป็นโรคไทรอยด์จึงควรสังเกตให้ดีว่ามีโรค MG เข้ามาร่วมด้วยหรือเปล่า
“โดยปกติแล้วโรค MG มักเกิดขึ้นกับคนในผู้หญิงช่วงวัย 20-40 ปี แต่ในผู้ชายจะพบหลัง 50 ปี แต่หากพบในผู้ป่วยที่อายุมากๆ สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังคือโรคมะเร็งต่างๆ แม้จะพบน้อย แต่ควรตรวจให้ละเอียด เนื่องจากมีมะเร็งหรือเนื้อร้ายหลายชนิดที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันและก่อให้เกิดปัญหาคล้ายๆ กับโรค MG ได้” รศ.พญ.ริมา กล่าว
“ฉีดฟิลเลอร์” อย่างไรให้ปลอดภัย พร้อมข้อสังเกตอาการผิดปกติ
2 วิธีทดสอบโรคด้วยตัวเอง
สำหรับวิธีการทดสอบโรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง จะมีวิธีการทดสอบเบื้องต้นอย่างง่าย 2 แบบ คือ
1. Sleep Test ให้ผู้ที่มีอาการหนังตาตก ลืมตาไม่ขึ้น นอนหลับพักผ่อนสัก 45-60 นาที ถ่ายรูปเซลฟี่เพื่อใช้เปรียบเทียบระหว่างก่อนนอน หลังตื่นนอน และหลังจากทำกิจวัตรประจำวันตามปกติไปสักระยะแล้ว พอตื่นขึ้นมาแล้วก็สังเกตดูว่า สามารถลืมตาได้ตามปกติ ตาโตเท่ากันทั้งสองข้างหรือไม่ อาการหนังตาตกกลับมามากขึ้นในช่วงบ่ายหรือหลังทำงานหรือไม่ หากมีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนคือหลังตื่นนอนดวงตาดูสดใส ลืมได้กว้างขึ้น แต่พออยู่ไปสักพักก็กลับมาหนังตาตก ตาหรี่แคบลง น่าสงสัยว่าอาจจะเป็นอาการบ่งชี้ของโรค MG
“อาจจะลองถ่ายรูปตัวเองตอนเช้าหลังตื่นนอน นำมาเปรียบเทียบกับรูปถ่ายในช่วงบ่าย วิธีการคือถ่ายรูปตัวเองมองตรงไปข้างหน้า ตำแหน่งที่ถ่ายก็ควรเป็นตำแหน่งเดิม เนื่องจากการกดกล้องขึ้นหรือลง เปลี่ยนตำแหน่ง อาจทำให้ความกว้างของดวงตาเปลี่ยนไป” รศ.พญ.พริมา กล่าว
2. Ice Test หรือการประคบเย็น ให้วางน้ำแข็งหรือแผ่นทำความเย็นบนเปลือกตาขณะหลับตา ประมาณ 2 นาที แล้ววัดความกว้างของดวงตาว่าสามารถเปิดหรือลืมตาได้ดีขนาดไหน เมื่อเทียบกับก่อนทำ Ice Test ซึ่งหากทำในโรงพยาบาล หากความกว้างของดวงตาต่างกันตั้งแต่ 2 มิลลิเมตรขึ้นไป ถือว่ามีผลบวก
“หากทำ Ice Test เองที่บ้านก็สามารถสังเกตได้เองว่าหลังจากวางน้ำแข็งบนเปลือกตาทั้งสองข้างไป 2 นาทีแล้ว สามารถเปิดตาหรือลืมตาได้ดีขึ้น หรือกว้างมากขึ้นหรือไม่ แต่ต้องสังเกตภายใน 30 วินาที หลังเอาน้ำแข็งออก เพราะเปลือกตาจะตกลงมาอยู่ตำแหน่งเดิมหลังความเย็นลดลง”
ทั้งนี้ การทดสอบด้วย Sleep Test และ Ice Test หากหนังตากลับมาตกอีก สงสัยได้ว่าจะมีอาการของโรค MG ควรไปตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์วินิจฉัย ทดสอบ เจาะเลือดตรวจหาไทรอยด์ ตรวจดูภูมิคุ้มกันต่างๆ ตรวจดูกระแสไฟฟ้ากล้ามเนื้อ หรือเอ็กซเรย์เพื่อตรวจหาเนื้องอกต่อมไทมัส (Thymoma) และอื่นๆ ต่อไป
วิธีการรักษา
รศ.พญ.พริมา กล่าวว่าโดยทั่วไป โรค MG จะรักษาด้วยการให้ยาเท่านั้น ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่ม ได้แก่
กลุ่มยาที่เพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาท ซึ่งเป็นประเภทที่มีความปลอดภัยสูง แต่อาจมีผลข้างเคียงในช่วงแรกๆ เช่น ปวดท้อง ถ่ายท้อง น้ำลายไหล กล้ามเนื้อกระตุก โดยจะมีอาการมากในรายที่เริ่มทานยาในขนาดที่สูง
กลุ่มยาสเตียรอยด์ ซึ่งจะใช้เมื่อยาในกลุ่มแรกให้ผลที่ไม่ดีพอ หรือเริ่มมีอาการอื่นนอกจากหนังตาตก แต่จะมีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างมาก เช่น สิวขึ้น อ้วนขึ้น น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ภูมิคุ้มกันต่ำลง ในผู้ป่วยที่ได้รับยา ทั้งนี้ ห้ามผู้ป่วยหยุดยาเอง เนื่องจากจะมีผลข้างเคียง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ หรือฮอร์โมนผิดปกติตามมาได้
กลุ่มยากดภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่มีผลข้างเคียงที่อันตรายที่สุด มีฤทธิ์ทำลายตับหรือกดไขกระดูก
แต่หากผู้ป่วยมีอาการเพียงหนังตาตกเล็กน้อย ไม่มีอาการอื่น แพทย์ให้เพียงยาหยอดตากลุ่มที่สามารถทำให้เปลือกตายกขึ้นได้ไปใช้ ซึ่งจะปลอดภัยมากที่สุด
ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองกับยากลุ่มใดๆ ดังกล่าวเลย และมีอาการคงที่ แพทย์จะให้ทำการรักษาด้วยการผ่าตัด แต่การรักษาด้วยการผ่าตัดหนังตานั้นให้ผลการรักษาที่ไม่แน่นอน
“หากผู้ป่วยทำการผ่าตัดดึงหนังตาโดยไม่ทราบมาก่อนว่าตัวเองเป็นโรค MG เมื่ออาการของโรคดีขึ้นหรือได้รับการรักษาอาจจะทำให้เปลือกตาถูกยกรั้งขึ้นผิดปกติ กลายเป็นหนังตาเหลือก ดังนั้น ก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมผ่าตัดหนังตา หากผู้ป่วยมีอาการต่างๆ ข้างต้น ควรได้รับการตรวจว่าไม่ได้เกิดจากโรค MG ก่อนที่จะตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดหนังตาหรือทำศัลยกรรมทำตาสองชั้นเพื่อแก้ไขหนังตาตกต่อไป” รศ.พญ.พริมา กล่าว
ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นป่วย
รศ.พญ.พริมา กล่าวแนะนำผู้ป่วยโรค MG ว่า ให้หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นโรคต่างๆ ได้แก่ การอดนอน พักผ่อนน้อย หรือการทำงานหนักจนเหนื่อยมากๆ การอยู่ในที่อากาศร้อน มีแสงจ้ามากๆ เป็นต้น
“โรค MG ไม่ชอบความร้อน หากผู้ป่วยอยู่ในที่อากาศเย็นอาการจะดีขึ้น สำหรับคนไข้เพศหญิง ช่วงที่มีประจำเดือน อาการของโรคอาจจะแย่ลงกว่าปกติ ก็ควรระมัดระวังเป็นพิเศษกว่าเดิม พักผ่อนให้เยอะขึ้น” รศ.พญ.พริมา กล่าว
นอกจากนี้ คนไข้ควรดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงโรคติดเชื้อต่างๆ หากไม่สบาย เป็นไข้หรือเป็นหวัด อาการของโรค MG ก็จะแย่ลงตามไปด้วย การใช้ยาปฏิชีวนะบางชนิด ยากันชัก ยาคลายกล้ามเนื้อ ก็อาจทำให้อาการแย่ลงเช่นกัน ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค MG เมื่อไปทำการรักษาโรคอื่นๆ ต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชยากรทุกครั้งว่าเป็นโรค MG และตอนนี้ทานยาอะไรอยู่บ้าง เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเอง
ทั้งนี้ ผู้ที่กังวลว่าตัวเองมีภาวะของโรค MG หรือโรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงหรือไม่ หลังทำการทดสอบง่ายๆ ด้วยตนเองที่บ้านแล้ว แนะนำให้ไปตรวจกับจักษุแพทย์หรืออายุรแพทย์ที่โรงพยาบาลที่ท่านสะดวกเพื่อขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง และโรคไทรอยด์ เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
สธ. แนะ ATK แยกขยะก่อนทิ้ง ป้องกันแพร่โควิด พร้อมเผยวิธีจัดการที่ถูกต้อง