รวมลิสต์ “ยาไทย-ยาแผนปัจจุบัน” ที่ควรมีติดบ้านช่วงโควิด-19
รวมลิสต์ “ยาไทย-ยาแผนปัจจุบัน” ที่ควรมีไว้ติดบ้านช่วงโควิด หากติดเชื้อควรทานยาอะไรเพื่อรักษาอาการเบื้องต้น และเมื่อเข้าสู่ระบบการรักษา จะได้รับยาอะไรจากแพทย์เพิ่มเติมอีกบ้าง
ท่ามกลางการระบาดของโควิด -19 ในไทยที่ยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ที่มีคาดการณ์กันว่า อาจมียอดผู้ติดเชื้อทะลุแสนรายต่อวัน เนื่องจากเป็นช่วงที่คนไทยนิยมเดินทางกลับไปพบปะครอบครัว ประกอบกับเชื้อไวรัสที่มีวิวัฒนาการจนมีความสามารถแพร่กระจายได้ง่าย
ดังนั้นการเตรียมยาสามัญประจำบ้านที่ใช้รักษาอาการโควิด-19เบื้องต้น จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าเราจะเสี่ยงติดเชื้อเมื่อใด
ประเมินระดับอาการเมื่อป่วยโควิด-19 เข้าข่ายผู้ป่วยกลุ่มสีอะไร
โพลเผย "คนไทย" กังวลกับโควิดพันธุ์ใหม่ กลัวความรุนแรง-ติดเชื้อง่าย
ทีมข่าว PPTV News ได้รวบรวมลิสต์ “ยาไทย-ยาแผนปัจจุบัน” ที่ควรมีเอาไว้ติดบ้าน และข้อมูลเรื่องยาหากติดเชื้อโควิดและเข้าสู่ระบบการรักษา จะได้รับยาจากแพทย์เพิ่มเติมอะไรบ้าง ดังนี้
8 ชุดยาสามัญประจำบ้านยุคโควิด-19
- ยาลดไข้ ทานเมื่อมีไข้ อุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 37 องศา หรือมีอาการปวดต่าง ๆ
- ยาแก้แพ้ ทานเท่าที่จำเป็นและควรรับประทานเพียงวันละครั้ง เพราะออกฤทธิ์ได้นานเกือบ 24 ชั่วโมง
- ยาแก้ไอ หากไอแบบมีเสมหะ ควรใช้ยาแก้ไอที่มีฤทธิ์ช่วยละลายเสมหะ หากไอแห้ง ควรใช้ยาประเภทกดอาการไอ
- ยาละลายเสมหะ ทานเมื่อมีอาการไอร่วมกับการมีเสมหะ และควรดื่มน้ำอุ่นมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
- ยาลดน้ำมูก ช่วยให้หายใจสะดวก อาจมีผลข้างเคียง เช่น น้ำมูก-คอ-ปากแห้ง ง่วงซึม ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับและไตควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
- ผงเกลือแร่ ORS ผู้ที่มีอาการท้องเสียหรืออาเจียนสามารถทานได้ โดยผสมน้ำสะอาดและสามารถจิบได้เรื่อย ๆ ทั้งวัน
- ยาฟ้าทะลายโจร ยาสมุนไพรใช้บรรเทาอาการไข้หวัดและเจ็บคอ ข้อควรระวัง คือ ต้องเลือกที่ปลอดภัยและผ่านการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่ควรทานเกินวันละ 180 มิลลิกรัม ติดต่อกันเกิน 5 วัน และ ไม่ควรทานร่วมกันยาที่มีฤทธิ์ลดการแข็งตัวของเลือด
- ยาอื่น ๆ เช่น ยาธาตุน้ำแดง ยาธาตุน้ำขาว ยาแก้ไอน้ำดำ ยาหม่อง ยาดม แผ่นเจลลดไข้ น้ำเกลือสำหรับกลั้วคอและล้างแผล เป็นต้น
- ยาประจำตัว ควรมียาประจำตัวสำรองไว้ 1-2 เดือน เพื่อลดการเดินทาง และเผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน
9 ตำรับยาไทยแนะนำในสถานการณ์โควิด-19
- ขิง รสเผ็ดร้อน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ช่วยขับเสมหะ บรรเทาอาการไอ แก้คลื่นไส้ อาเจียน
- พลูคาว/ผักคาวตอง รสเผ็ดร้อน แต่ออกฤทธิ์เป็นยาเย็น ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต
- กระเทียม รสเผ็ดร้อนฉุน แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ลดไขมัน
- กระชาย (กระชายแกง) รสเผ็ดร้อน เหง้าและกระโปกกระชายมีสรรพคุณ ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงกำลัง บำรุงกำหนัด ช่วยให้เจริญอาหาร
- ตะไคร้ รสหอมปร่า ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับปัสสาวะ บรรเทาอาการขัดเบา ลดความดันโลหกิจ ช่วยให้เจริญอาหาร
- หม่อน รสเย็นจืด ใบเป็นยาขับเหงื่อ แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยขับลมร้อน ผลรสเปรี้ยวหวานเย็น เป็นยาระบายอ่อน ๆ แก้ธาตุไม่ปกติ แก้เจ็บคอ และช่วยให้ชุ่มคอ
- ขมิ้นชัน รสเผ็ดร้อนฝาด ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงร่างกาย
- กะเพรา รสเผ็ดร้อนฉุน แก้ปวดท้อง ท้องขึ้นจุกเสียด ขับผายลม ขับเหงื่อ แก้คลื่นไส้ อาเจียน
- หอมแดง รสหอมปร่า ใช้หัวแก่ ๆ กินเป็นยาขับลมในลำไส้ แก้ปวดท้อง บำรุงร่างกาย แก้หวัด คัดจมูก
อุปกรณ์ควรมีติดบ้าน
- ปรอทวัดไข้ หากอุณหภูมิที่สูงกว่า 37.8 องศาเซลเซียส ถือว่ามีไข้
- เครื่องวัดระดับออกซิเจนปลายนิ้ว หากค่าออกซิเจนต่ำกว่า 95% ควรรีบติดต่อแพทย์
- ชุดตรวจโควิด-19
- หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ
กลุ่มยาดังกล่าว เป็นเพียงยารักษาอาการในเบื้องต้น หากท่านมีอาการคล้ายโควิด-19 หรือ เป็นกลุ่มเสี่ยง ควรตรวจให้แน่ใจก่อนว่าติดเชื้อโควิดหรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยาทุกชนิดอาจมีผลข้างเคียง และอาจมีอันตรายหากใช้ไม่ถูกต้องเหมาะสม แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนการใช้ยา
อาการโควิด-19 แบบไหน จะได้ยารักษาตัวใด
หากท่านตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วย ATK หรือ RT-PCR แล้ว พบว่าตนเองติดโควิด-19 แพทย์จะแจกยาตามแนวทางการรักษาที่กำหนดโดย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ประกาศ ณ วันที่ 22 มีนาคม 2565 ดังนี้
- ติดเชื้อแบบไม่มีอาการ : แพทย์จะจ่ายยาฟ้าทะลายโจรตามดุลยพินิจของแพทย์
- ติดเชื้อแบบแสดงอาการ : แพทย์จะจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์เร็วที่สุด
- ติดเชื้อแบบมีอาการเล็กน้อย มีโรคประจำตัวร่วมด้วย และเริ่มมีอาการปอดอักเสบ : ถ้าไม่เคยได้รับวัคซีน หรือเคยได้แค่ 1 เข็ม แพทย์จะจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ 5-10 วัน แต่ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงเยอะ จะให้ยาเรมเดซิเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ หรือแพลกซ์โลวิด แต่กรณีได้รับวัคซีน 2 เข็มหรือมากกว่านั้น แพทย์จะจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ 5-10 วัน
- ติดเชื้อแบบอาการหนัก ปอดอักเสบ ออกซิเจนต่ำ : แพทย์จะจ่ายยาเรมเดซิเวียร์ 5-10 วัน และหากมีอาการมากขึ้นอาจพิจารณาให้ยาเสตียรอยด์
เงื่อนไขการใช้ยารักษาโควิด-19
การใช้ยาฟ้าทะลายโจร
- ใช้ในกลุ่มไม่มีปัจจัยเสี่ยง
- ห้ามใช้กับคนที่มีประวัติแพ้ยาฟ้าทะลายโจร
- ห้ามใช้กับหญิงตั้งครรภ์/อาจจะตั้งครรภ์ และหญิงที่กำลังให้นมบุตร
- ห้ามใช้กับคนที่ต้องกินยาลดความดัน และยาที่มีฤทธิ์ป้องกันแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin, aspirin และ clopidogrel เพราะอาจเสริมฤทธิ์กัน
การใช้ยาฟาวิพิราเวียร์
- ใช้ในกลุ่มไม่มีปัจจัยเสี่ยง และมีปัจจัยเสี่ยง หรือโรครุนแรงที่ทำให้เสียชีวิต เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวาน ตับแข็ง ภาวะอ้วน และภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
- ไม่เคยรับการฉีดวัคซีน หรือฉีดตั้งแต่ 1 เข็มขึ้นไป
- ควรระวังการใช้ในผู้หญิงมีครรภ์/ผู้ที่อาจตั้งครรภ์
การใช้ยาเรมเดซิเวียร์
- ใช้ในกลุ่มไม่มีปัจจัยเสี่ยง และมีปัจจัยเสี่ยง หรือโรครุนแรงที่ทำให้เสียชีวิต เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวาน ตับแข็ง ภาวะอ้วน และภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
- ใช้ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์
- ไม่เคยรับการฉีดวัคซีน หรือฉีดตั้งแต่ 1 เข็มขึ้นไป
- ใช้ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์
การใช้ยาโมลนูพิราเวียร์
- ผู้ติดเชื้อต้องมีอายุ 60 ปี ขึ้นไป
- ใช้ในกลุ่มมีปัจจัยเสี่ยง หรือโรครุนแรงที่ทำให้เสียชีวิต เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวาน ตับแข็ง ภาวะอ้วน และภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
- ไม่เคยรับการฉีดวัคซีน หรือฉีดเพียงแค่ 1 เข็ม
- ห้ามใช้กับสตรีมีครรภ์
การใช้ยาแพกซ์โลวิด
- ผู้ติดเชื้อต้องมีอายุ 60 ปี ขึ้นไป
- ใช้ในกลุ่มมีโรคประจำตัว เช่น โรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน
- ห้ามใช้กับสตรีมีครรภ์
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานประกันสังคม, กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และ กระทรวงสาธารณสุข