วิธีดูแลใจลูกยุคโควิด-19 สังเกตสักนิดป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตามมา
จิตแพทย์เด็กหมอเผยเด็กเครียดน้อยลงช่วงปิดเทอม เชื่อปรับตัวกับยุคโควิดได้แล้ว แนะวิธีดูแลใจลูก
ในสภาวะโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ยังระบาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้วิถีชีวิตปรับเปลี่ยนไปหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ได้ใช้เวลาในโรงเรียนน้อยลง ต้องหันมาเรียนออนไลน์ ใช้เวลาอยู่กับบ้านมากขึ้น ส่งผลให้มีปัญหาทางสุขภาพจิตตามมา
นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น และโฆษกกรมสุขภาพจิต ได้เผยถึงสุขภาพจิตของเด็กในยุคโควิด ดังนี้
เครียดจิตตกช่วงโควิด-19 จิตแพทย์แนะ3วิธีรับมือสู้ไวรัสร้ายทุกระลอก
จิตแพทย์เด็กแนะ 5 พฤติกรรมที่พ่อแม่ไม่ควรปฏิบัติกับลูกเวลาโกรธ
ปิดเทอมสุขภาพจิตเด็กดีขึ้น
จากที่เฝ้าติดตามมาสุขภาพจิตของเด็กในช่วงนี้ค่อยๆ ดีขึ้นเนื่องจากเข้าสู่ช่วงปิดเทอม แต่มีความเปลี่ยนแปลงจาก 2-3 ปีที่ผ่านมา จากที่เด็กสามารถไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัว ออกไปเล่นกับเพื่อนข้างนอกบ้านได้ ต้องปรับมาเปลี่ยนมาใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านทำให้เบื่อหน่ายจนหันมาติดจอติดเกมนำไปสู่ปัญหาอย่างอื่นมากมาย อีกส่วนนึงเมื่อเด็กอยู่บ้านมากขึ้นก็จะต้องเจอคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น ซึ่งหากความสัมพันธ์ดีสามารถใช้เวลาคุณภาพกับลูกได้ก็จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นครอบครัวทะเลาะกันบ่อย ช่วงปิดเทอมจะะทำให้เพิ่มโอกาสทะเลาะกันมากยิ่งขึ้น
หากเปิดเทอมสุขภาพจิตเด็กจะเป็นอย่างไร
เด็กหลายคนเริ่มปรับตัวได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะเบื่อและอยากให้โควิด-19 จบลง แต่ก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว ส่วนที่กลุ่มที่ปรับตัวไม่ได้จริงๆ คือผู้ปกครอง มีหลายกลุ่มที่เหนื่อยล้าจนสอนลูกไม่ไหว ทำให้มีผลต่อเด็กโดยตรง ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ความรู้ที่ได้ ไม่สามารถเทียบกับการไปเรียนที่โรงเรียนได้
สังเกตอาการเด็กเครียดปรับตัวไม่ได้
เด็กแต่ละคนมีวิธีการแสดงแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเดิมอุปนิสัยเดิม
-อารมณ์เฉยๆ เช่น อารมณ์เบื่อ เศร้ามากขึ้น กังวลมากขึ้น หงุดหงิดโกรธง่ายมากขึ้น
-แสดงออกมาเป็นความคิด ลักษณะไม่มีสมาธิ ขี้หลงขี้ลืม คิดอะไรไม่ตรงไปตรงมา ความคิดผิดเพี้ยนบิดเบี้ยว เนื่องจากมีความเครียดที่มากขึ้น
-บางคนอารมณ์ดูเฉื่อยๆ หน้าเฉื่อยๆ ความคิดดูปกติดี แต่พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป เช่น รุนแรงมากขึ้น ทำลายข้าวของ ก้าวร้าว เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่คนเดียว ไม่ยอมกินอาหาร นอนไม่หลับ หรือมีพฤติกรรมพูดเปลี่ยนไป พูดจาหยาบคาย ไม่พูด
-ติดเกมมากขึ้น
-ใช้สารเสพติดอย่างอื่นมากขึ้น
จะทำอย่างไรให้ลูกแสดงออกความรู้สึกได้ดีมากขึ้น
เปิดใจรับฟังลูกหลานมากขึ้น ถามไถ่ถึงความรู้สึกนึกคิดของเขามากขึ้น อย่างไรก็ตาม เด็กมีการแสดงออกทางความรู้สึกไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูเดิม หากเลี้ยงดูแบบเปิดให้เด็กพูดทุกอย่างที่เขาอยากจะพูด พ่อแม่ยินดีรับฟัง เด็กสามารถแสดงออกความรู้สึกได้ แต่ถ้าเลี้ยงดูมาแบบพูดอะไรมาพ่อแม่ก็ต่อว่า พูดไรมาพ่อแม่ไม่อยากฟัง เด็กก็จะไม่แสดงออกทางอารมณ์ที่ชัดเจน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพ่อแม่เคยรับฟังลูกแค่ไหน ลูกเชื่อใจที่จะเล่าให้ฟังหรือเปล่า อีกทั้งการบีบบังคับให้เด็กพูดหรือเล่าในสิ่งที่เขาไม่อยากเล่าก็อาจจะไม่มีประโยชน์ด้วยเช่นกัน
วิธีดูแลใจลูกยุคโควิด-19 สังเกตสักนิดป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตามมา
เพิ่มความรู้สึกด้านบวกให้ลูก
การเพิ่มความรู้สึกด้านบวกเพื่อลดความเครียดของเด็กต้องรู้ก่อนว่าเขาเครียดจากเรื่องอะไร หาสาเหตุแล้วค่อยแก้จากปัญหานั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น เครียดจากการอยู่บ้านมีเสียงดังรบกวนตลอด ให้แก้ด้วยการให้คนในครอบครัวลดความสียงดังลง เด็กเครียดจากการโดนต่อว่ารุนแรง ให้เปลี่ยนเป็นพูดจาดีๆต่อกัน เข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ถ้าหากแก้ปัญหาเหล่านี้แล้วลูกหลานของเรายังเครียดอยู่ ต้องหาว่าปัญหาอื่นๆ แทรกอยู่หรือไม่ ถ้ายังแก้ไม่ได้ควรไปที่ระดับต่อไปคือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อไหร่ควรพาลูกไปรับการปรึกษา
เมื่อลูกหลานมีความเครียดจนส่งผลต่อด้านต่างๆ เช่น
-ส่งผลต่อการเรียน การทำงาน
-ส่งผลต่อความสัมพันธ์ เช่น ไม่พูดคุยกับพ่อแม่เหมือนเดิม ไม่เข้าสังคม
-ส่งผลต่อการดูแลตัวเอง เช่น ไม่อาบน้ำ ไม่ดูแลตัวเอง
รู้จัก“โรคลมชัก”อาการทางสมองที่มักถูกมองว่า“ผีเข้า”
พาลูกรับคำปรึกษาได้ที่ไหนบ้าง?
-โรงพยาบาลประจำจังหวัดทุกแห่ง จะมีจิตแพทย์ทั่วไปคอยให้การรักษา สามารถดูแลให้คำปรึกษาเด็กและวัยรุ่นได้ในเบื้องต้น แต่เมื่อจิตแพทย์ทั่วไปเห็นว่าเคสนั้นๆ มีความซับซ้อนจะส่งต่อไปยังจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นในลำดับต่อไป
-โรงพยาบาลในเครือสุขภาพจิต 20 แห่งทั่วประเทศ อาทิ โรงพยาบาลศรีธัญญา สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งจะมีทั้งจิตแพทย์ผู้ใหญ่และจิตแพทย์เด็กให้การรักษา
-โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านจิตแพทย์เด็ก อาทิ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ โรงพยาบาลราชานุกูล โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ฯ สถาบันพัฒนาการเด็กในภาคเหนือ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นในภาคใต้
ซึ่งปัญหาด้านสุขภาพจิตทั้งหมดครอบคลุมโดยสิทธิทุกสิทธิที่ชมีอยู่ทั้ง สามสิบบาท ประกันสังคม สิทธิราชการ
การดูแลลูก
สิ่งสำคัญในการดูแลลูกหลานคือ ความเข้าใจ เข้าใจว่าเด็กกำลังเผชิญปัญหาอะไร เด็กกำลังเผชิญกับความยากลำบากอะไรอยู่ พยายามทำความเข้าใจและช่วยแก้ปัญหา รวมถึงมีเวลาให้กันและใช้อย่างคุ้มค่าให้เป็นเวลาคุณภาพ ถึงพ่อแม่จะมีความเครียดแต่ต้องตระหนักเสมอมาว่าลูกอาจจะเป็นทางที่ทำให้เรามีช่วงเวลาที่ดีได้หากใช้เวลากับลูกได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เพราะสุขภาพจิตมันไม่ใช่สุขภาพจิตของคนๆเดียว แต่มันคือสุขภาพจิตครอบครัว