หมอเผย BA.5 อาการมากกว่า BA.2 ชัดเจน ปวดเมื่อย ไอ เจ็บคอมาก ท้องเสีย
หมอธีระเผยอาการผู้ติดเชื้อ BA.5 อาการมากกว่าโอมิครอน BA.2 อย่างชัดเจน จำนวนติดเชื้อใหม่ครั้งนี้จะมากกว่าค่าเฉลี่ยของระลอกที่ผ่านมา
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Thira Woratanarat เผยข้อสังเกตเกี่ยวกับโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 ทั้งอาการและการแพร่ระบาด รายละเอียดดังนี้
ข้อสังเกตระลอก BA.5 จากเคสรอบตัวทุกวัน
1. ส่วนใหญ่กว่า 90% ติดเชื้อและมีอาการ
2. แม้อาการส่วนใหญ่จะไม่ได้ทำให้ต้องนอนโรงพยาบาล แต่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ไข้ซม ปวดเมื่อยมาก ไอ เจ็บคอมาก ท้องเสีย เปรียบเทียบแล้วพบอาการมากกว่า Omicron BA.1 และ BA.2 อย่างชัดเจน
เตือน "โควิด" ขาขึ้น จ่อเข้าอาฟเตอร์ช็อก คาดพีคช่วง ก.ย.
จับตา ! ศบค.เคาะปรับโควิดสู่โรคประจำถิ่น 8 ก.ค. 65
3. ผู้ติดเชื้อที่ปรึกษามาทั้งหมดนั้นตรวจ ATK เองทั้งสิ้น ไม่ได้ไปตรวจ RT-PCR
4. สถิติสัปดาห์ล่าสุด ในสถานที่ทำงานแห่งหนึ่ง มีเคสติดเชื้อใหม่เกิดขึ้นรายสัปดาห์พุ่งสูงกว่าสัปดาห์ก่อนหน้าถึง 150% และการติดเชื้อใหม่นี้คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 1:20 ถือว่าหนักกว่าอังกฤษ (1:30) เวลส์ (1:30) ไอร์แลนด์เหนือ (1:25) และพอๆ กับสก๊อตแลนด์ (1:18)
เราต้องการกลไกการบริหารนโยบายสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน จำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมป้องกันโรค เพื่อลดอัตราการติดเชื้อให้น้อยลง ไม่ใช่ปล่อยจอย โดยรอดูแค่จำนวนนอนโรงพยาบาลและจำนวนเสียชีวิต เพราะการติดเชื้อแต่ละครั้งของทุกคนนั้น เดิมพันด้วยความเสี่ยงต่อปัญหาระยะยาวอย่าง Long COVID ซึ่งไม่มีใครมารับผิดชอบแทนผู้ป่วยได้
ส่วนตัวแล้วประเมินว่า เคสติดเชื้อใหม่ในแต่ละวัน ณ ขณะนี้ น่าจะสูงมากจริงๆ (อาจสูงราว 70,000-100,000 ต่อวัน) เพราะอัตราการตรวจเองสูงมาก และส่วนใหญ่ไม่เข้าระบบ และจำนวนติดเชื้อใหม่ครั้งนี้จะมากกว่าค่าเฉลี่ยของระลอกที่ผ่านมา หากไม่มีการควบคุมป้องกันโรคให้มีประสิทธิภาพกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน
"ใส่หน้ากากกันนะครับ สำคัญมาก"
BA.4 / BA.5 จ่อครองพื้นที่ระบาดในไทย ข้อมูลความรุนแรงยังไม่มากพอ
เฝ้าจับตา! โควิด BA.2.75 ตัวใหม่ เทียบกับ โอมิครอน BA.5 ตัวไหนจะแรงกว่า
ขณะที่ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ใน ประเทศไทย โดยระบุว่า
ต้องขอออกมาเตือนกันให้ดังๆ ว่า สถานการณ์โควิดขณะนี้เขม็งเกลียวขึ้นมาใหม่ ทุกคนและทุกฝ่ายต้องช่วยกันประคองภาพรวมไม่ให้กลับไปทรุดหนักอีกรอบ แล้วรอลุ้นให้เกิดการปรับฐานโรคซาลงเองในช่วงอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อจะได้ร่วมเดินหน้าผลักดันประเทศที่กะปลกกะเปลี้ยกันต่อไป
สถานการณ์ที่บ้านริมน้ำเริ่มตึงมือมากว่าสัปดาห์แล้ว จำนวนผู้ป่วยโควิดที่จำเป็นต้องรับเข้าโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งส่วนน้อยที่ป่วยจากโควิดโดยตรง และส่วนใหญ่ที่ป่วยจากโรคอื่นแต่มีการติดเชื้อโควิดร่วมด้วย จนทำให้บุคลากรด่านหน้าที่กันไว้จำนวนหนึ่งสำหรับงานโควิด ต้องกลับมาทำงานกันหนักขึ้นจากเดิมกว่าเท่าตัว และต้องวิ่งวุ่นหมุนเตียงกันมือระวิง เพื่อลดจำนวนคนไข้ที่ตกค้างรอรับไว้ในโรงพยาบาล
สภาพเช่นนี้กำลังเกิดขึ้นกับโรงพยาบาลใหญ่อีกหลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด สวนทางกับตัวเลขรายวันที่แจ้งว่ายังมีเตียงรองรับผู้ป่วยโควิดเหลืออีกมาก ตัวเลขที่ว่านั้นเป็นแค่กรอบจำนวนเตียงที่จะขยายขึ้นได้ภายใต้เงื่อนไข แต่ที่มีใช้งานอยู่จริงตอนนี้เริ่มร่อยหรอเต็มที ส่วนกรอบที่จะขยายได้ก็ถูกนำไปใช้กับผู้ป่วยอื่นที่ไม่ใช่โควิดจนเกือบไม่เหลือหรอแล้ว
‘หมอยง’ แนะผู้ป่วยโควิดกักตัว 10 วัน แม้ผลตรวจ ATK เป็นลบแล้ว
ลองโควิด (Long Covid) เรื่องไม่เล็ก ส่งผลต่อสมอง กระทบต่อจิตใจ
จากข้อมูลที่รับทราบมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยจริงเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน น่าจะอยู่ที่ราววันละห้าหมื่นคนแล้ว ต่างกับตัวเลขรายวันที่เราเห็นกันในรายงาน แถมยังมีปรากฏการณ์ยอดตกช่วงต้นสัปดาห์เช่นดังรูปของวันนี้ ซึ่งเป็นผลจากระบบการตรวจหาเชื้อและรายงานผลช่วงวันหยุด ส่วนตัวเลขผู้ป่วยอาการรุนแรงที่เพิ่มขึ้นจาก 600 แล้วมาหยุดแถวก่อน 700 ดังในอีกรูปนั้น ก็เป็นผลจากระบบการรายงานที่จะมียอดวิ่งเข้ามาเป็นก้อนๆ ไม่ได้สม่ำเสมอในทุกวัน
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของระบบการเบิกจ่ายเงินค่าตรวจรักษาโรคโควิด-19 ในรูปแบบเดิม เพื่อเปลี่ยนผ่านเข้าสู่รูปแบบปกติของระบบสุขภาพพื้นฐาน เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่น ที่ได้เตรียมการรองรับกันไว้มานานก่อนหน้าแล้ว เมื่อประกอบกับสถานการณ์การระบาดที่กลับปะทุขึ้นใหม่ แม้จะยังไม่แรงถึงครึ่งหนึ่งของช่วงพีคโอไมครอนครั้งก่อน แต่ต้นทุนประเทศในการดูดซับปัญหาเราร่อยหรอยอบแยบเต็มที ทั้งด้านงบประมาณและด้านบุคลากร หากไม่ออกแรงฮึดช่วยกันชะลอควบคุมการระบาดให้อยู่มือ อาจเห็นมีผู้ป่วยอาการรุนแรงตกค้างในชุมชนและจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น แล้วคงหลีกเลี่ยงดราม่าครั้งใหม่ไม่พ้นแน่
ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องบอกความจริง และออกมาเตือนให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือ ไม่ใช่คอยแต่ให้ท้ายเพื่อปลดหน้ากากหรือเพิ่มกิจกรรมทางสังคมที่เสี่ยงแต่เพียงด้านเดียว
#โควิดยังไม่หมดอย่ารีบปลดหน้ากาก