“คลื่นความร้อน” อันตรายต่อร่างกายของเราอย่างไร?
รู้จัก 6 ความอันตรายของ “คลื่นความร้อน” ต่อร่างกายของคนเรา หลังยุโรปกำลังเผชิญคลื่นความร้อนระดับวิกฤต
ผลพวงจากภาวะโลกร้อนและวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลก ทำให้หลายประเทศยุโรปเผชิญกับคลื่นความร้อน (Heatwave) รุนแรง ซึ่งทำให้อุณหภูมิในบางพื้นที่พุ่งเกิน 40 องสาเซลเซียส โดยโปรตุเกสในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเคยร้อนแตะไปถึง 47 องศาเซลเซียส
ขณะเดียวกัน พยากรณ์อากาศสหราชอาณาจักรได้ประกาศคำเตือน “ความร้อนรุนแรงระดับสีแดง” เป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 18-19 ก.ค. ที่จะถึงนี้ โดยคาดว่า อุณหภูมิในอังกฤษและเวลส์จะสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส และทางการประกาศให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือกับอากาศร้อนจัดเป็นประวัติการณ์
ไฟป่ายุโรปโหมหนัก หลังสถานการณ์คลื่นความร้อนยังวิกฤต
ญี่ปุ่นหวั่นโลกร้อน กระทบวัตถุดิบสำคัญ ปลาโอ-วาซาบิ อนาคตอาจหายไป
อากาศร้อนระวังโรคลมแดด รักษาไม่ทันถึงขั้น "พิการ-เสียชีวิต"
คลื่นความร้อนนอกจากจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้เกิดไฟป่าแล้ว ยังมีผลเสียต่อร่างกายของคนเราโดยตรง และในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายประเทศในยุโรปประกาศพบผู้เสียชีวิตจาก “ความร้อน” สะสมแล้วราว 1,000 ราย
6 ท่ากายบริหารง่าย ๆ ทำเองได้ที่บ้าน ช่วยถนอมดูแลสุขภาพ "ข้อเข่า"
10 เหตุผลดีๆ จากการดื่มน้ำเปล่า ร่างกายมีแต่ได้ประโยชน์
และนี่คือ 6 ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อร่างกายของเราหากได้รับความร้อนมากเกินไป ซึ่งบางกรณีอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
ผิวหนัง
การถูกแดดเผาเป็นเวลานาน ๆ ทำให้ผิวหนังของเราได้สัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากดวงอาทิตย์จำนวนมาก ยิ่งร่างกายถูกแดดเผามากเท่าไร คนก็ยิ่งมีโอกาสเป็นมะเร็งผิวหนังมากขึ้นเท่านั้น
สมอง
การศึกษาพบว่าความร้อนจัดอาจส่งผลต่อสมรรถภาพทางความคิดและจิตใจ โดยอากาศร้อนมีความเชื่อมโยงกับการทำงานของสมองที่ลดลง เกิดความผิดพลาดในการตัดสินใจ
หลายคนรายงานว่ารู้สึกหงุดหงิดในวันที่อากาศร้อน และมีหลักฐานบ่งชี้ว่าความร้อนจัดส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตด้วย ผลการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ในนิวยอร์กพบว่า ในวันที่อากาศร้อน มีการเข้ารับการรักษาฉุกเฉินในโรงพยาบาลมากขึ้น ทั้งจากการใช้สารเสพติด ความผิดปกติด้านอารมณ์และความวิตกกังวล โรคจิตเภท และภาวะสมองเสื่อม
ในกรณีที่เลวร้ายกว่านั้น อุณหภูมิที่สูงมากจะทำให้แนวกั้นเลือดและสมอง (BBB) เริ่มสลาย โปรตีนและไอออนสะสมในสมองทำให้เกิดการอักเสบได้
เหงื่อ
ไฮโปทาลามัสเป็นตัววัดอุณหภูมิร่างกายของเรา โดยจะตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิทั้งภายในและภายนอกร่างกาย และปรับอุณหภูมิร่างกายให้อยู่ที่ 37 องศาเซลเซียส บวกลบไม่เกิน 2 องศา
เมื่อสมองรับรู้ได้ว่า ร่างกายกำลังอุ่นขึ้น ไฮโปทาลามัสจะส่งสัญญาณไปยังหลอดเลือดใกล้ผิวหนังเพื่อบอกให้พวกมันขยายออกเพื่อคลายความร้อน
และหากอากาศภายนอกร่างกายร้อนกว่าภายใน ต่อมเหงื่อของร่างกาย ซึ่งมีอยู่ 1.6-5 ล้านต่อม จะทำงาน เหงื่อจะหลั่งออกมาที่ผิวของผิวหนัง ซึ่งการระเหยของมันจะมีผลทำให้ร่างกายเราเย็นลง เพราะต้องใช้พลังงานความร้อนจากร่างกายเพื่อทำให้ของเหลวกลายเป็นไอ
แต่อันตรายของเรื่องนี้คือ บางคนสามารถขับเหงื่อได้มากถึง 10 ลิตรต่อวัน ซึ่งมากเกินไปและอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ ร่างกายที่ขาดน้ำจะไม่สามารถทำให้ตัวเองเย็นลงด้วยการขับเหงื่อได้อีกต่อไป
นอกจากนี้ หากร่างกายร้อนเกินไป การไหลเวียนของเลือดไปยังผิวหนังและการขับเหงื่อจะหยุดลง ในกรณีนี้ อุณหภูมิของร่างกายจะพุ่งสูงขึ้นและเซลล์สมองจะได้รับความเสียหายแบบไม่สามารถย้อนกลับได้
ปอด
อากาศร้อนส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศ ทำให้หายใจลำบาก อุณหภูมิที่สูงมักจะมาพร้อมกับอากาศที่นิ่งซึ่งทำให้อนุภาคของมลพิษลอยนิ่งอยู่ในอากาศ นอกจากนี้ มลพิษที่ปล่อยออกมาจากรถยนต์ โรงไฟฟ้า และแหล่งอุตสาหกรรม จะทำปฏิกิริยาทางเคมีกับแสงแดดด้วย
มลพิษในอากาศสามารถลดการทำงานของปอด และเป็นปัจจัยสำคัญในการป่วยและเสียชีวิตจากโรคหอบหืด
ความเหนื่อยล้า
การรับความร้อยมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะร่างกายมีอุณหภูมิสูงผิดปกติ (Hyperthermia) ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อกลไกควบคุมความร้อนในร่างกายไม่สามารถรับมือได้อีกแล้ว
หากอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นถึงประมาณ 38 องศาเซลเซียส สมองจะสั่งให้กล้ามเนื้อทำงานช้าลง และจะทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้า เรียกว่าอาการอ่อนเพลียจากความร้อน ซึ่งยังรวมถึงอาการวิงเวียนศีรษะ การมองเห็นไม่ชัด กระหายน้ำมาก คลื่นไส้ ใจสั่น และชา
หากอุณหภูมิร่างกายไม่ลดลง อาการอ่อนเพลียจากความร้อนอาจรุนแรงขึ้นกลายเป็นโรคลมแดด (Heatstroke) ซึ่งจะเกิดขึ้นหากอุณหภูมิร่างกายร้อนถึง 40 องศาเซลเซียส ถือเป็นกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์ อาการต่าง ๆ ได้แก่ ผิวแห้ง ร้อน และจิตผิดปกติ หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดอาการชัก โคม่า และเสียชีวิตได้
หัวใจ
เมื่อร่างกายร้อนขึ้น หลอดเลือดจะขยายตัว และทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ทำให้อาจรู้สึกวิงเวียนและไม่สบาย ที่เลวร้ายที่สุด เมื่อร่างกายขาดการไหลเวียนของเลือดตามปกติ ลำไส้อาจรั่ว หลอดเลือดอาจเสียหาย ทำให้เลือดจับตัวเป็นก้อน หากความดันโลหิตลดลงมากเกินไป ความเสี่ยงของอาการหัวใจวายจะเพิ่มขึ้นด้วย
เมื่อร่างกายรู้สึกว่ามันร้อนเกินไป เมดัลลาโอบลองกาตา (medulla oblongata) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมองที่ควบคุมกระบวนการสำคัญต่างๆ เช่น การเต้นของหัวใจ การหายใจ และความดันโลหิต จะบอกให้หัวใจเพิ่มปริมาณเลือดที่สูบฉีดในทุก ๆ จังหวะ แต่เมื่อความดันโลหิตลดลง หัวใจจึงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อดันเลือดไปทั่วร่างกาย ดังนั้นอัตราการเต้นของหัวใจจึงเพิ่มขึ้น
เรียบเรียงจาก The Guardian
ภาพจาก AFP
8 พฤติกรรมเสี่ยง! ทำให้เกิดอาการ “ปวดหลังเรื้อรัง”
ดื่ม "กาแฟ" อย่างไรให้ได้ประโยชน์ ช่วยกระตุ้นร่างกายให้สดชื่น