ไขข้อสงสัย กินยาคุมกำเนิดนานๆแล้วเป็นมะเร็งเต้านม จริงหรือไม่ ?
ยาคุมกำเนิด เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการคุมกำเนิดที่ง่าย สะดวก และราคาไม่แพง จึงเป็นวิธีที่สาวๆ นิยมมากที่สุด รวมถึงยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ แต่เมื่อร่างกายได้รับ ฮอร์โมนในปริมาณมากเป็นเวลานาน อาจเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้
ทำความรู้จัก “ยาเม็ดคุมกำเนิด”
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่ายาเม็ดคุมกำเนิดนั้นมีอยู่ 2 ประเภท คือ ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน ซึ่งเป็นยาคุมกำเนิดที่ประกอบด้วยเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนผสมกันอยู่ในเม็ดเดียวกัน ในขณะที่อีกประเภทหนึ่งคือ ยาคุมกำเนิดประเภทฮอร์โมนเดี่ยว ที่ภายในเม็ดยาจะประกอบด้วยโปรเจสโตเจน เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ยาคุมทำเสี่ยงมะเร็งเต้านม ?
มะเร็งเต้านมจะเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยทางธรรมชาติ ทั้งภายนอกและภายในร่างกาย แต่ฮอร์โมนก็มีส่วนเกี่ยวข้องเช่นกัน
สัญญาณมะเร็ง 3 อันดับคร่าชีวิตผู้หญิง เจอเร็วโอกาสหายสูง ลดการเสียชีวิต
ผู้ป่วยมะเร็งต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด19 หรือไม่ ? เพราะอะไรถึงต้องฉีด?
บางข้อมูลบอกว่าการกินยาคุมต่อเนื่องเป็นเวลานานจะเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นซึ่งการเป็นมะเร็งเต้านมนั้นเกิดจากการที่ร่างกายมีระดับฮอร์โมนตามธรรมชาติผิดปกติ โดยมีฮอร์โมนดังกล่าวในอัตราที่สูงติดต่อกันเป็นเวลานาน จนเป็นเหตุให้มีความเสี่ยงเนื้อเยื่อเต้านมผิดปกติเพิ่มสูงขึ้นได้
จึงพบว่าผู้หญิงที่มีการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ด จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงที่ไม่เคยใช้ และยังพบว่าในกลุ่มที่เริ่มใช้ยาคุมกำเนิดตั้งแต่ในวัยรุ่นยังมีความเสี่ยงจากฮอร์โมนมากขึ้นเป็นเท่าตัวอีกด้วย ยิ่งเริ่มใช้ในช่วงที่มีอายุน้อยมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิดความเสี่ยงมากกว่าในวัยผู้ใหญ่ รวมถึงในกลุ่มคนที่ใช้เม็ดยาคุมกำเนิดติดต่อกันนานกว่า 5 ปีขึ้นไป มักถูกตรวจพบว่ามีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม ยาเม็ดคุมกำเนิดจึงเป็นข้อห้ามของคนที่เป็นมะเร็งเต้านมเพราะอาจทำให้โรคกำเริบได้
อย่างไรก็ตามการกินยาคุมกำเนิดยังคงเป็นทางเลือกสำหรับป้องกันการตั้งครรภ์ที่ง่ายและสะดวกสำหรับผู้หญิงในยุคนี้จึงแนะนำว่า
- เริ่มต้นกินยาคุมกำเนิดควรปรึกษาสูตินารีแพทย์ เพื่อเลือกชนิดของยาคุมกำเนิดรวมถึงปริมาณของฮอร์โมนที่อยู่ในยาดังกล่าวให้เหมาะสมเป็นรายบุคคลไป เนื่องจากการซื้อยาคุมกำเนิดมาใช้เอง เสี่ยงรับฮอร์โมนที่มากเกินไป
- หลีกเลี่ยงการกินยาคุมกำเนิดติดต่อกันเกิน 5 ปี
- ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ด้วย
ทั้งนี้ควรหมั่นสังเกตอาการความผิดปกติของตนเอง หากมีความเสี่ยง คลำพบก้อนเนื้อ มีก้อนปูดโปนที่เต้านม หรือรักแร้ มีเลือด หรือน้ำเหลือง ไหลออกมาจากหัวนม อาการปวดบริเวณเต้านมหรือมีการเปลี่ยนขนาดรูปร่าง แม้ข้อใดข้อหนึ่งควรรีบพบแพทย์เพื่อรักษา
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโล