จับตาโควิด Ba.4 และ Ba.5 ทำปอดอักเสบ หนีภูมิ "ติดเชื้อ - วัคซีน" ได้
งานวิจัยแอฟริกาใต้พบ โควิด-19 โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4/BA.5 สามารถหลบภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการเคยติดโอมิครอนดั้งเดิมและวัคซีนได้
ผลการศึกษาในห้องปฏิบัติการของแอฟริกาใต้พบว่า โควิด-19 โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ที่เพิ่งค้นพบเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา มีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีที่เกิดจากการติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมและการฉีดวัคซีนโควิด-19
การค้นพบนี้อาจเป็นสัญญาณว่า ในอนาคตอันใกล้ อาจจะมีการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยมีโอมิครอน BA.4 และ BA.5 เป็นสายพันธุ์หลักของการระบาด
"เช็ก 5 อาการโอมิครอน" ที่แพทย์ตรวจพบในกลุ่มผู้ติดเชื้อโควิด
เจออีกแล้ว สายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.4 และ BA.5
โอมิครอน BA.4 และ BA.5 โผล่แอฟริกาใต้ แพร่ไวแต่อาจไม่รุนแรงไปกว่าตัวอื่น
การศึกษาได้ตรวจสอบตัวอย่างเลือด 39 ตัวอย่าง โดยมาจากผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 โอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม (BA.1) และยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนจำนวน 24 คน ตัวอย่างจากผู้ที่ได้รับวัคซีน 15 คน โดย 8 คนได้รับวัคซีนโควิด-19 ไฟเซอร์ และอีก 7 คนได้รับวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน
ผลการตรวจเลือดกลุ่มผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิม (BA.1) พบว่า การผลิตแอนติบอดีชนิด Neutralizing Antibody (NAb) ลดลงเกือบ 8 เท่าเมื่อนำมาทดสอบกับโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5
เช็กที่นี่ ! รวมจุดฉีดวัคซีนโควิด ทั้งแบบลงทะเบียน และ Walk in
เปิดแนวทางการรับวัคซีนโควิด-19 หลังติดเชื้อแล้วควรฉีดเมื่อไหร่
ส่วนตัวอย่างเลือดจากกลุ่มตัวอย่างผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 พบว่า ระดับการผลิตแอนติบอดี NAb ลดลงประมาณ 3 เท่า
ทีมวิจัยระบุว่า “ระดับการสลายเชื้อ (Neutralize) ที่ต่ำเมื่อทดสอบกับ BA.4 และ BA.5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน ไม่น่าจะป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการได้ดี ... สิ่งนี้อาจบ่งชี้ว่า จากความสามารถในการหลบหนีภูมิคุ้มกัน ทำให้ BA.4 และ BA.5 มีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดการติดเชื้อใหม่ระลอกใหม่ได้”
มีการคาดการณ์ว่า แอฟริกาใต้อาจเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 5 เร็วกว่าที่คาดไว้ โดยขณะนี้ แอฟริกาใต้มีอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะเกิดจากการระบาดของโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5
ด้าน ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย “BA.5” ปัจจุบันพบการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ดั้งเดิมมากที่สุด ก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงที่จะหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันแพร่ระบาดไปทั่วโลกได้ในอนาคตอันใกล้
ที่น่ากังวลคือผลการทดลองในสัตว์ทดลองเบื้องต้นบ่งชี้ว่า โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 สามารถเพิ่มจำนวนได้ดีในเซลล์ปอด อันอาจจะก่อให้เกิดการติดเชื้อปอดอักเสบขึ้นได้ในมนุษย์ เหมือนกับสายพันธุ์เดลต้าที่ระบาดและมีอาการติดเชื้อที่รุนแรงในอดีต ซึ่งต่างไปจากโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1 และ BA.2 ซึ่งเพิ่มจำนวนได้ดีในเซลล์ของเยื่อบุระบบทางเดินหายใจส่วนบน ไม่ลงมาแพร่ติดต่อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่นที่ปอด
ส่วนหนามของโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4, BA.5 และ BA.2.12.1 ที่เปลี่ยนแปลงไปสามารถเป็นตัวเชื่อมให้ผนังของหลายเซลล์หลอมรวมเป็นเซลล์เดียว (cell fusion หรือ syncytia formation) ดึงดูดให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้อเข้ามาทำลายเกิดการอักเสบ (ของปอด) ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ (life-threating)
ขณะที่ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ในส่วนของโอมิครอนนั้นมีสายพันธุ์ย่อยหรือลูกหลานที่น่ากังวล คือ BA.2.12.1 , BA.2.9.1 BA.2.11 BA.2.13 และ BA.4 BA.5 แต่ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือ BA.4 และ BA.5
อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกมีการวิเคราะห์ข้อมูลในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายพบว่าสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนตัวอื่นๆ มีการติดเชื้อลดลง มีเพียงสายพันธุ์ BA.5 เท่านั้น ที่มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นจาก 16% เป็น 25% จึงต้องจับตาใกล้ชิดในสายพันธุ์ BA.5 มากกว่า
สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย มีการเฝ้าระวังมาอย่างต่อเนื่อง โดยพบสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา มีการพบสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวประมาณ 200 ตัวอย่างนิดๆ ส่วนใหญ่พบในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งอาจเป็นเพราะเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้ศูนย์ตรวจ เลยส่งตรวจมามาก
ทั้งนี้ 72.7% เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ อีก 27.3% เป็นการติดเชื้อในประเทศ โดยสัปดาห์หลังนี้มีรายงานพุ่งพรวดขึ้นมา 50% คงต้องรออีก 2-3 สัปดาห์ถึงจะเห็นแนวโน้มจริงของการระบาดของสายพันธุ์นี้ในประเทศไทย
ยังไม่มีใครฟันธงได้ว่าจะรุนแรงกว่าเดิมหรือไม่ แต่คนที่เคยติดเชื้อโอมิครอน BA.1 และ BA.2 มาก่อนสามารถติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 ซ้ำได้ โดยคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนจะพบว่า เมื่อมาติด BA.5 ภูมิคุ้มกันที่จะสู้กับเชื้อลดลงไปมาก 6-7 เท่า ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีน ภูมิคุ้มกันที่จะสู้กับเชื้อลด 1-2 เท่า
ดังนั้น ถ้าฉีดวัคซีนและภูมิคุ้มกันในร่างกายสูงมากพอจะสู้ได้มากกว่าคนไม่ฉีดวัคซีน การรับวัคซีนเข็มกระตุ้นยังจำเป็น เพราะช่วยให้มีภูมิคุ้มกันมากพอ ช่วยลดความรุนแรงและอาการต่าง ๆ ของโรคได้
อ่านงานวิจัยที่นี่
นักวิทย์เตรียมส่งข้อความไปในทางช้างเผือก ตามหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก
ก่อนจะลดน้ำหนัก รู้จัก "ความอ้วน" ดีแล้วหรือยัง?
เรียบเรียงจาก Bloomberg