เมื่อวันอังคาร (13 ก.ค.) ตัวเลขจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ของอินโดนีเซียพุ่งขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก แซงหน้าบราซิล สเปน อินเดีย และสหราชอาณาจักร ทำให้มีความกังวลว่า อินโดนีเซียกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดแห่งใหม่ในเอเชียต่อจากอินเดีย
โดยสาเหตุสำคัญของความรุนแรงของการระบาดครั้งนี้เนื่องมาจากการแพร่กระจายของสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) ที่มีอัตราการแพร่ระบาดได้สูง ทำให้เกิดการติดเชื้อสูงขึ้น
ร้านขายยา แนะ รัฐบาล แจกชุดตรวจโควิด-19 ให้ประชาชนฟรี
หมอแคนาดาย้ำ สูตรวัคซีนโควิด-19 ไขว้ชนิดของแคนาดา ปลอดภัยมีประสิทธิภาพ
อนามัยโลกเตือน ปชช.อย่าสลับการฉีดวัคซีนผสมสูตรเอง อาจเป็นอันตราย
อินโดนีเซียมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันทะลุ 40,000 รายเป็นเวลา 2 วันติดต่อกันแล้ว เพิ่มขึ้นมากว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาซึ่งมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉลี่ยราว 10,000 รายต่อวัน
เจ้าหน้าที่กังวลว่า เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่สามารถแพร่เชื้อได้สูงตอนนี้กำลังแพร่กระจายออกไปนอกเกาะชวา ซึ่งเป็นเกาะหลักของประเทศ และอาจส่งผลให้เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลรับมือไม่ไหว เช่นเดียวกับการจัดหาออกซิเจนและยารักษาโรคที่ร่อยหรอลงไปทุกที
อินโดนีเซียรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 โดยเฉลี่ย 907 รายต่อวันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากเลขเฉลี่ย 181 รายในเดือนที่แล้ว ขณะที่อินเดียรายงานผู้เสียชีวิตเฉลี่ยยังคงสูงกว่า อยู่ที่ 1,072 รายต่อวัน
แต่ด้วยขนาดประชากรที่ต่างกันกว่า 5 เท่า ก็ทำให้อินโดนีเซียมีสัดส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อจำนวนประชากรสูงกว่าอินเดีย โดยอยู่ที่ 175 รายต่อประชากร 1 ล้านคน ขณะที่อินเดีย ในประชากร 1 ล้านคนจะเจอผู้ติดเชื้อ 23 คน
อีกหนึ่งปัญหาของอินโดนีเซียคือเรื่องของการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 โดยปัจจุบันอินโดนีเซียมีวัคซีนเพียงพอสำหรับประชากรเพียง 10% เท่านั้น ขณะที่ประเทศร่ำรวยส่วนมากมีวัคซีนเพียงพอให้ประชากรเกินครึ่งประเทศ
หากไม่มีวัคซีนโควิด-19 อย่างเพียงพอ อินโดนีเซียจะต้องเผชิญกับจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง
นอกจากนี้ มาตรการล็อกดาวน์ถึงวันที่ 20 ก.ค. นี้ของอินโดนีเซียยังไมได้ผลเท่าที่ควร โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บูดี กูนาดี ซาดิคิน กล่าวว่า การเคลื่อนที่ของประชากรลดลงเพียง 6% เท่านั้นนับตั้งแต่มีการกำหนดข้อจำกัด ในขณะที่ทางการเคยคาดว่าจะลดได้ถึง 20%
รัฐบาลอินโดนีเซียได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า จำเป็นต้องลดการเคลื่อนที่ของประชากรลง 50% เพื่อลดการแพร่กระจายของโควิด-19
“โรงพยาบาลของเราไม่สามารถรับมือได้อีกต่อไป หากเราไม่ลดการเคลื่อนที่ของประชาชนลงอย่างน้อย 20%” ซาดิคินกล่าว
นักวิเคราะห์ยังเชื่อว่า อัตราการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ของอินโดนีเซียเน้นตรวจเฉพาะผู้ที่มีอาการป่วยหรือป่วยหนัก จึงเป็นไปได้ที่จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจะต่ำกว่าความเป็นจริง
เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ได้มีการเปิดเผยผลการสุ่มตรวจแอนติบอดีชาวกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย พบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของผู้อยู่อาศัยในจาการ์ตาอาจติดเชื้อโควิด-19
การสำรวจดังกล่าวได้ทดสอบแอนติบอดีต่อไวรัสโควิด-19 ในเลือดของกลุ่มตัวอย่างประมาณ 5,000 คนทั่วเมือง ตั้งแต่วันที่ 15-31 มี.ค. ผลการศึกษาพบว่า 44.5% ของผู้ที่ได้รับการทดสอบมีแอนติบอดีโควิด-19 ซึ่งบ่งชี้ว่าพวกเขาติดเชื้อโควิด-19 แต่รัฐไม่เคยรายงานตัวเลขจากคนกลุ่มนี้มาก่อน
รายงานนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานสาธารณสุขเมืองจาการ์ตา คณะสาธารณสุขของมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย สถาบันชีววิทยาโมเลกุลเอจิกแมน และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ในประเทศอินโดนีเซีย
นักวิจัยระบุว่า อาจมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเมืองหลวงอินโดนีเซียมากถึง 4.7 ล้านคน ณ วันที่ 31 มี.ค. จากประชากรทั้งหมดประมาณ 10.6 ล้านคน
ตัวอย่างจากอินโดนีเซียนี้ทำให้เห็นว่า ปัจจัยที่สำคัญต่อการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ประกอบด้วยการเข้าถึงวัคซีน มาตรการหรือข้อจำกัดที่มีประสิทธิภาพ และศักยภาพในการตรวจหาเชื้อ
อินโดนีเซียมีวัคซีนโควิด-19 ไม่เพียงพอ มาตรการจำกัดการเคลื่อนที่ของคนไม่ได้ และการตรวจโควิด-19 ก็ถูกเชื่อว่ายังไม่มากพอ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่อาจควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไว้ได้
ประเทศไทยเองก็ต้องย้อนดูตัวว่า เรามีวัคซีนพอแล้วหรือยัง มีมาตรการควบคุมดีพอหรือไม่ และตรวจหาเชื้อได้มากพอหรือยัง ถ้ายัง ก็ควรถึงเวลาแล้วที่ต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อไม่ให้ไทยกลายเป็นอย่างอินโดนีเซีย
ภาพจาก AFP