"ตาลีบัน" อาจยึดเมืองหลวงอัฟกานิสถานได้ใน 90 วัน
“ตาลีบัน” รุกคืบ 3 เมืองหลักอัฟกานิสถาน หลังยึดพื้นที่ได้ครึ่งประเทศ
บริเวณด่านชามาน ซึ่งเป็นหนึ่งด่านที่สำคัญบนชายแดนอัฟกานิสถานและปากีสถาน ชาวอัฟกันจำนวนมากพากันเดินเท้าหลั่งไหลไปที่นั่นโดยหวังว่า ปากีสถานจะเปิดด่านชายแดนและพวกเขาจะอพยพหนีกลุ่มตาลีบัน ซึ่งทหารฝั่งปากีสถานมีการยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่เป็นระยะ ๆ เพื่อสกัด
ขณะที่ความพยายามของคนอัฟกันจำนวนมากที่ต้องการหนีการสู้รบไปประเทศเพื่อนบ้านไม่ง่าย ปากีสถานปิดพรมแดน ส่วนตุรกีก็มีการสร้างกำแพงกั้น จำนวนมากจึงตัดสินใจอพยพเข้ามาที่กรุงคาบูลเมืองหลวง เพราะดูเหมือนจะเป็นจุดที่อันตรายน้อยที่สุดในขณะนี้
เมื่อมาถึงกรุงคาบูล คนเหล่านี้ต้องมาอาศัยนอนตามคลังสินค้าหรืออาคารที่ถูกทิ้งร้าง ตามริมถนนหรือสวนสาธารณะ ความเป็นอยู่ลำบาก ต้องกางเต๊นฑ์นอนกันตามมีตามเกิด อาหารไม่ค่อยพอ บางครอบครัวอดมื้อกินมื้อแล้ว ไม่ต้องพูดถึงยารักษาโรคหรือการหาหมอ หากล้มป่วยลง แต่ทั้งหมดก็ยังดีกว่าการอยู่ในเมืองที่ตกอยู่ในความครอบครองของตาลีบัน โดยเฉพาะผู้หญิง ที่หลายคนเล่าถึงประสบการณ์หรือสิ่งที่พวกเธอกลัวที่สุด นั่นคือ การถูกลักพาตัวหรือถูกข่มขืน
จำนวนของผู้อพยพและผู้พลัดถิ่นฐานในอัฟกานิสถานเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังทหารสำหรัฐฯเริ่มถอนทหารเมื่อเดือนที่ผ่านมา ตัวเลของค์การสหประชาชาติ ระบุ เดือนกรกฏาคมเดือนเดียวมีชาวอัฟกันพลัดถิ่นฐานเกือบ 300,000 ราย เสียชีวิตอย่างน้อย 1,000 ราย คนหนีตายจากกลุ่มตาลีบันเพราะยังจำความโหดร้ายและสุดโต่งของกลุ่มนี้ได้ดี
ในช่วงที่ตาลีบันปกครองอัฟกานิสถานคือ ตั้งแต่ปี 1996-2001 มีการนำแนวทางสุดโต่งมาใช้ปกครองประเทศ ผู้หญิงถูกริดรอนเสรีภาพเกือบทั้งหมดรวมถึงการเข้าถึงการศึกษา วัฒนธรรมตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นเพลง ภาพยนต์เป็นเรื่องต้องห้าม
ตาลีบัน คือ หนึ่งในกลุ่มนักรบมูจาฮิดีนที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ทั้งทางการเงินและการฝึกอาวุธในช่วงสงครามเย็น เพื่อใช้เป็นตัวแทนในการต่อสู้กับสหภาพโซเวียตที่บุกประเทศอัฟกานิสถานเมื่อ 1979
หลังสหภาพโซเวียตถอนกำลังออกไป อัฟกานิสถานก็วุ่นวายจากการแย่งชิงอำนาจกันเอง ตาลีบัน ที่แข็งแกร่งที่สุดผงาดขึ้นมา และใช้กำลังเข้ายึดอัฟกานิสถานสถาปนาตนเองขึ้นเป็นรัฐบาลในปี 1996 ก่อนหลุดจากอำนาจในอีก 6 ปีต่อมาเมื่อสหรัฐฯและนาโต้เข้าถล่มอัฟกานิสถานหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 หลังตาลีบันปฏิเสธส่งผู้นำอัลไกดา โอซามา บินลาเดน ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 11 กันยาให้กับสหรัฐฯ
หลังประจำการอยู่ 20 ปี สหรัฐฯ และนาโต้ตัดสินใจถอนทหารออกทั้งหมด ถึงแม้ว่าเส้นตายในการถอนทหารจะคือ 11 กันยายน ที่จะถึงนี้ แต่กำลังส่วนใหญ่ออกจากอัฟกานิสถานหมดแล้ว ส่งผลให้ตาลีบันสามารถรุกคืบยึดคืนพื้นที่จากกองกำลังรัฐบาลอัฟกานิสถาน (ที่สหรัฐเคยสนับสนุน) ได้อย่างรวดเร็ว
- เมื่อวานนี้มี 9 เมือง วันนี้เพิ่มมาอีกเป็น 18 เมืองใน 18 จังหวัด (จากทั้งหมด 34 จังหวัด) โดยที่อยู่ในการควบคุมของตาลีบันแล้วตอนนี้
- เมืองทางตอนเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีพรมแดนติดกับทาจิกิสถานและอุเบกิสถาน คือเมือง ปุล-อี-คุม-รี / ไฟซาบาด / ตูลูกัน/ คุนดุซ /ไอย์บัค
- เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งมีพรมแดนต่อไปยังเติร์กเมนิสถาน คือ ซาร์-อี-ปุล / เชอเบอร์กัห์น / กาลา อี นาว (ยึดได้วันนี้ 13 ส.ค.)
- เมืองทางตะวันตก คือ ฟาราห์ ซารัง และเมืองเฟรุซ โกห์ จังหวัดกฮอร์ (ยึดได้วันนี้ 13 ส.ค.)
- เมืองทางใต้ คือ ลัชคาร์การ์ (ยึดได้วันนี้ 13 ส.ค.)
- เมืองตอนกลางของประเทศ คือ ตาเลนกอท และปุล-อี-อลาม (ซึ่งอยู่ติดกรุงคาบูล ห่างออกไป 70 กิโลเมตร) (ยึดได้วันนี้ 13 ส.ค.)
- ส่วน 3 เมืองที่ยึดได้เมื่อวานนี้คือ กาซนี่ ทางตอนกลางของประเทศ / เฮรัต ทางตะวันตก และกันดาฮาร์ ซึ่งอยู่ทางใต้
- และเมืองล่าสุด ลัชการ์คาร์
การยึด กาซนี่ เฮรัตและกันดาฮาร์ได้ ถือเป็นชัยชนะทางการทหารที่สำคัญของตาลีบัน เนื่องจากกาซนี่เป็นเมืองที่อยู่ห่างจากคาบูลเพียง 150 กิโลเมตร ส่วนกันดาฮาร์และเฮรัตคือเมืองอันดับใหญ่ที่ 2 และ 3 ของประเทศ
ดูจากแผนที่ กรุงคาบูล ฐานที่มั่นของรัฐบาลอัฟกานิสถานถูกล้อมรอบจากทุกทิศทาง
ภาพของกองกำลังตาลีบันหลังจากยึดเมืองกาซนี่ได้ การเข้ายึดกาซนีได้ คือจุดที่ใกล้ที่สุดในการเข้าบุกเมืองหลวงของตาลีบัน
ส่วนภาพของ ตาลีบัน ในเมืองเฮรัตหลังจากยึดเมืองได้เมื่อวานนี้ รถฮัมวี่กระจายประจำการณ์หลายจุดไปทั่วเมือง สมาชิกกองกำลังตาลีบันบนรถพร้อมอาวุธอย่างปืนกลออกตระเวณตามท้องถนน
การรุกคืบอย่างรวดเร็วของตาลีบันทำให้มีหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ประเมินว่า ตาลีบันจะยึดครองทั้งประเทศรวมถึงกรุงคาบูลเมืองหลวงได้ในอีกไม่ถึง 90 วันข้างหน้า และถึงแม้สถานการณ์จะเริ่มย่ำแย่ลงทุกขณะ แต่สหรัฐยังยืนยันการตัดสินเดิมคือ การถอนทหารออกมาทั้งหมด
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐแถลงว่า สหรัฐฯ ไม่เสียใจกับการตัดสินใจถอนทหารออกมาและระบุว่า ถึงเวลาที่ชาวอัฟกันต้องดูแลอนาคตของตัวเอง
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้สนับสนุนรัฐบาลอัฟกานิสถานในทุกด้าน ทั้งเงินช่วยเหลือ การฝึกและติดอาวุธในกองกำลังรัฐบาลที่มีอยู่กว่า 300,000 นาย
สหรัฐฯ-อังกฤษ ส่งทหารช่วยอพยพพลเมืองออกจากอัฟกานิสถาน
ท่ามกลางการรุกคืบของตาลีบันมาเรื่อยๆจนเดือบถึงกรุงคาบูล ล่าสุดทำเนียบขาวและเพนตากอนหรือกระทรวงกลาโหมของสหรัฐประกาศจะส่งทหาร 3,000 นาย รวมถึงหน่วยนาวิกโยธินซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษเข้าไปที่อัฟกานิสถานภายใน 24-48 ชั่วโมงข้างหน้าเพื่ออพยพพลเมืองสหรัฐออกจากที่นั่น
การรุกคืบของตาลีบันในการเข้ายึดเมืองหลวงทำให้ไม่เฉพาะสหรัฐฯ เท่านั้นที่วิตกต่อความปลอดภัยของพลเมืองตนเอง ล่าสุดสหราชอาณาจักรซึ่งเคยมีทหารปฏิบัติการที่นั่นและถอนตัวออกมาพร้อม ๆ กับสหรัฐฯ ประกาศส่งกำลังเข้าไปใหม่เพื่ออพยพพลเมืองออกเช่นเดียวกัน
แต่ความเคลื่อนไหวนี้ถูกตั้งข้อสังเกตุว่า เป็นวิธีในการส่งทหารกลับไปอัฟกานิสถานเพื่อโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มตาลีบันก่อนที่เมืองหลวงจะแตกหรือไม่ และถ้าสหรัฐฯ จะโจมตีทางอากาศ สิ่งที่จะตกอยู่ในความครอบครองของตาลีบันไม่ได้เลยคือ สนามบินนานาชาติ Hamid Kazai ในกรุงคาบูล
ที่สำคัญ เพราะภูมิประเทศของอัฟกานิถานที่เป็นเทือกเขาล้อมรอบ และพรมแดนส่วนใหญ่ติดกับประเทศที่อาจไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตะวันตกมากนัก การจะเข้าไปอัฟกานิสถานเพื่อปฏิบัติการทางการทหารจำเป็นต้องใช้สนามบินแห่งนี้ ดังนั้นถ้าสนามบินตกอยู่ใต้การครอบครองของตาลีบันก็จะเป็นปัญหาใหญ่
ประเด็นนี้มีการชี้แจงจากเพนตากอน โดยระบุว่า สหรัฐฯ ไม่เคยมีแผนการในการใช้สนามบินแห่งนี้เป็นฐานที่ในสกัดหรือโจมตีตาลีบัน
การยืนยันของโฆษกเพนตากอน เป็นการส่งสัญญานว่าที่ชัดเจนอีกครั้งว่า สหรัฐฯ จะยุติบทบาท ปล่อยมือจากจากอัฟกานิสถานจริง ๆ