เมื่อวานนี้ (20 ก.ย.) มีรายงานว่า ยอดผู้เสียชีวิตสะสมจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ อยู่ที่ราว 676,000 ราย ซึ่งนับว่ามากกว่าตัวเลขผู้เสียชีวิต 675,000 รายจากไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Flu) ที่เคยระบาดครั้งใหญ่เมื่อ 100 ปีก่อนช่วงปี 1918-1919 แล้ว
อย่างไรก็ตาม จำนวนประชากรสหรัฐฯ เมื่อหนึ่งศตวรรษก่อนมีเพียง 1 ใน 3 ของจำนวนในปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่า ไข้หวัดใหญ่สเปนได้คร่าชีวิตชาวอเมริกันในสัดส่วนที่มากกว่า
อินเดียประกาศกลับมาส่งออกวัคซีนโควิด-19 เริ่มเดือน ต.ค. นี้
ไฟเซอร์ยืนยันวัคซีนโควิดปลอดภัยสำหรับเด็ก
FDA สหรัฐ มติเอกฉันท์ บูสเตอร์โดส เฉพาะ 65 ปี ขึ้นไปและกลุ่มเสี่ยง
ขณะนี้ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ เฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 1,900 รายต่อวัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา และมีการคาดการณ์ว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจริง ๆ อาจจะสูงกว่านี้ด้วยซ้ำ
และฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงอาจทำให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ แบบจำลองของมหาวิทยาลัยวอชิงตันคาดการณ์ว่า ชาวอเมริกันจะเสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มอีก 100,000 คนภายในวันที่ 1 ม.ค. 2022 ซึ่งอาจจะทำให้ยอดผู้เสียชีวิตโดยรวมในสหรัฐฯ พุ่งแตะเกือบ 800,000 ราย
ย้อนไปในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 1918-1919 โรคร้ายนั้นได้คร่าชีวิตผู้คนไป 50 ล้านคนทั่วโลก ในช่วงเวลาที่โลกมีประชากร 1 ใน 4 ของปัจจุบัน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั่วโลกตอนนี้อยู่ที่ราว 4.6 ล้านคน เทียบสัดส่วนกันแล้ว ยังคงนับว่าไข้หวัดใหญ่สเปนมีความอันตรายกว่ามาก
ทั้งนี้ ยอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สเปนในสหรัฐฯ เมื่อครั้งนั้นเป็นการคาดเดาคร่าว ๆ จากข้อมูลการจดบันทึกข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ของยุคนั้น
คาดการณ์ว่า การระบาดใหญ่ของโควิด-19 อาจยุติได้หากไวรัสค่อย ๆ อ่อนแอลงในขณะที่มันกลายพันธุ์ และระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์เรียนรู้ที่จะสู้กับมันมากขึ้นเรื่อย ๆ การฉีดวัคซีนและการติดเชื้อตามธรรมชาติ เป็นวิธีหลักที่จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราดีขึ้น
ปัจจุบัน มีประชากรสหรัฐฯ ไม่ถึง 64% (รับรวมทุกช่วงอายุ) ที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม และมีราว 54% ได้รับวัคซีนครบโดส โดยบางรัฐ เช่น ไอดาโฮ ไวโอมิง เวสต์เวอร์จิเนีย มิสซิสซิปปี ยังมีอัตราการฉีดวัคซีนไม่ถึงครึ่ง
ขณะที่สถานการณ์วัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก มีประชากรโลกประมาณ 43% ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม โดยที่ประเทศในแอฟริกาบางประเทศเพิ่งำด้รับวัคซีนมาฉีดให้กับประชาชน
การที่ไวรัสเจอภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งจนแพร่เชื้อไม่ไหวนั้น เคยเกิดขึ้นกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 ซึ่งเป็นต้นเหตุการระบาดใหญ่ในปี 1918-1919 มาแล้ว โดยเชื้อไปพบกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันสูงหลายคนเกินไป และในที่สุดก็กลายพันธุ์จนอ่อนแอลง ไวรัส H1N1 ยังคงแพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน แต่ภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากการติดเชื้อและการฉีดวัคซีนก็สามารถเอาชนะเชื้อได้
ก่อนเกิดโควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ปี 1918-1919 ถือเป็นการระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ในระดับสากล เป็นการแพร่กระจายโดยมีสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นตัวเร่งให้เกิดการระบาด มันฆ่าคนหนุ่มสาวสุขภาพดีจำนวนมหาศาล ไม่มีวัคซีนใดที่จะทำให้มันช้าลง และไม่มียาสำหรับการรักษา
แอน มารี คิมบัลล์ ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน กล่าวว่า ข้อดีอย่างหนึ่งตอนนี้คือ “ไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ช้ากว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่ ทำให้เป็นเป้าหมายที่คงที่สำหรับการฉีดวัคซีน”
ส่วนการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในปัจจุบันจะเอาชนะการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปน กลายเป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดได้หรือไม่นั้น คิมบัลล์บอกว่า “ฉันอยากจะบอกว่าไม่ เรามีการควบคุมการติดเชื้อมากกว่าอดีต มีความสามารถมากขึ้นในการช่วยเหลือผู้ป่วย เรามียาแผนปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกันเราก็มีประชากรจำนวนมากขึ้นและมีความคล่องตัวในการเดินทางกันมากกว่า ... ที่น่ากลัวก็คือโควิด-19 จะกลายเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ต่อต้านวัคซีนโดยเฉพาะหรือไม่”
เรียบเรียงจาก AP
ภาพจาก AFP