ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ ลงนามในกฎหมายงบประมาณโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 39 ล้านล้านบาท โดยพิธีลงนามมีขึ้นที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ ซึ่งไบเดนได้กล่าวก่อนลงนามว่า ข้อความของเขาที่ต้องการส่งไปถึงชาวอเมริกันคือ อเมริกากำลังเดินหน้าอีกครั้ง และชีวิตของพวกคุณกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
งบประมาณดังกล่าว ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นงบประมาณก้อนโตที่สุดในยุคหนึ่ง จะถูกนำไปใช้สำหรับการปรับปรุงและพัฒนาทางด่วน ถนน และสะพาน
“ไบเดน”ยกเลิกคำสั่งห้ามคนข้ามเพศเป็นทหาร
อังกฤษยกระดับภัยก่อการร้าย เหตุระเบิดเมืองลิเวอร์พูล
รวมถึงทำให้ระบบเชื่อมต่อเมืองและเครือข่ายรถไฟโดยสารมีความทันสมัยขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีอีกส่วนที่จะใช้กับการพัฒนาน้ำดื่มสะอาด อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และจุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะพลังงานไฟฟ้าทั่วประเทศอีกด้วย นับเป็นการลงทุนยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี
กฎหมายดังกล่าวได้รับการจัดสรรเงินมาจากหลากหลายวิธี เช่น มาจากกองทุนบรรเทาสถานการณ์ฉุกเฉินจากช่วงแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่ยังไม่ได้ใช้งาน มาจากภาษีใหม่ที่จัดเก็บจากคริปโตเคอเรนซี่ หรือสกุลเงินดิจิทัล และแหล่งอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวก่อให้เกิดความแตกแยกในพรรคแดโมแครตของผู้นำสหรัฐอยู่มาก และได้รับการกล่าวโทษว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้การเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนียที่ผ่านมา แดโมแครตพ่ายแพ้ไป โดยมีคนกล่าวหาว่า ความพ่ายแพ้นี่เป็นตัวบ่งชี้ว่า ผู้คนไม่ยอมรับในการทำงานและผลงานของโบเดนในฐานะผู้นำสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ไบเดนยืนกรานว่า กฎหมายงบประมาณที่เขาพยายามผลักดันนั้น ไม่ได้กระทบต่อผลการเลือกตั้งดังกล่าว แต่เป็นปัญหาอื่นๆ เช่น คนที่มาลงคะแนนเป็นกลุ่มที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปัญหาการจ้างงาน ไปจนถึงราคาน้ำมัน
ทั้งนี้สหรัฐประสบปัญหาน้ำมันแพง เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ โดยมีความพยายามเรียกร้องให้รัฐบาลระบายน้ำมันจากคลังสำรองยุทธศาสตร์ เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาน้ำมันเบนซินพุ่งสูงขึ้นกว่านี้ เพราะในปลายเดือนนี้สหรัฐจะเข้าสู่เทศกาลขอบคุณพระเจ้า ที่ประชาชนจะเดินทางกัน