กองทัพอาร์เมเนีย ปะทะ อาเซอร์ไบจาน ตายกว่า 20 คน
วานนี้ (27 ก.ย.) รัฐบาลอาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจาน ประกาศกฎอัยการศึก พร้อมเรียกระดมกำลังพลชายฉกรรจ์อายุ 18 ขึ้นไป หลังมีรายงานว่ากองทัพของสองฝ่ายใช้อาวุธหนักโจมตีกันอย่างรุนแรงในภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัค ซึ่งเป็นพื้นที่ขัดแย้งยาวนาน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 23 คน ซึ่งมีทั้งพลเรือน และทหาร
ประธานาธิบดีอิลฮาม อาลีเยฟ ของอาเซอร์ไบจาน แถลงผ่านสถานทีโทรทัศน์แห่งชาติ กล่าวหาว่าอาร์เมเนียเป็นฝ่ายที่เริ่มใช้กำลังก่อน ทำให้กองทัพอาร์เซอร์ไบจานต้องทำการตอบโต้ เพื่อควบคุมสถานการณ์และยึดคืนดินแดนดังกล่าวกลับมา
ขณะที่ ฝั่งอาร์เมเนีย เปิดเผยว่ากองทัพได้ยิงเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ และยานยนต์หุ้มเกราะ 3 คันของกองทัพอาเซอร์ไบจาน ส่วนกระทรวงกลาโหมภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัค อ้างว่า ยิงทำลายโดรนของอาเซอร์ไบจาน 15 ลำ และรถถังอีก 10 คัน
ล่าสุด นานาประเทศออกมาแสดงความเป็นกังวลต่อสถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้น นำโดยนายอันโตนิโก กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก สหภาพยุโรป และฝรั่งเศส ที่ออกแถลงการณ์ประณามการใช้ความรุนแรง อันนำมาซึ่งความสูญเสีย และเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงทันที เช่นเดียวกับรัสเซีย ซึ่งแม้จะเป็นพันธมิตรของอาร์เมเนีย แต่ก็เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าเจรจากัน
ด้านประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ระบุว่าจะหาทางยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับอิหร่าน ซึ่งมีพรมแดนติดกับอาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจาน เสนอเป็นตัวกลางเจรจาสันติภาพ แต่ตุรกี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งชาติมหาอำนาจในภูมิภาค ประกาศให้การสนับสนุนอาเซอร์ไบจาน
กรณีพิพาทเหนืออธิปไตยของภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัค เป็นหนึ่งในความขัดแย้งที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยนานาชาติยอมรับว่าภูมิภาคดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของอาเซอร์ไบจาน แต่ในทางปฏิบัติ ดินแดนแห่งนี้มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอาร์เมเนีย และได้ประกาศตัวเป็นพื้นที่ปกครองตนเอง และแยกตัวจากอาเซอร์ไบจานตั้งแต่ปี 1994