และแล้ววันนี้ก็มาถึง (26 ก.พ. 65) บรรดาศิษย์เก่าโรงเรียนวรรณวิทย์ทุกรุ่นได้มารวมตัว ณ สถานที่อันคุ้นเคย ที่ซึ่งบ่มเพาะความรู้ ความรัก ความผูกพัน แสดงมุทิตาจิตแก่คณะครูที่ได้อบรมสั่งสอน ในงาน "สิ้นเสียงระฆังวรรณวิทย์" ปิดตำนาน 76 ปี บ้านหลังที่สองใจกลางสุขุมวิท
กิจกรรมวันนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มอาบคราบน้ำตาทั้งลูกศิษย์และครูที่ได้หวนมาพบกัน ได้ถามไถ่ทุกข์สุข ย้อนรำลึกความหลังเมื่อครั้งยังเป็นเด็กน้อยวิ่งเล่น เรียนหนังสือ เป็นความทรงจำที่มิอาจลืมเลือน และร่วมกันลั่นระฆังเป็นครั้งสุดท้าย
น้ำเสียงที่ดูสุขุมเยือกเย็น เต็มเปี่ยมด้วยพลังของหญิงวัย 88 ปีผู้นี้ คุณครูพิศมัย ชื่นอังกูร ผู้จัดการโรงเรียนวรรณวิทย์ ที่อีกไม่กี่วันข้างหน้าตำแหน่งนี้จะกลายเป็นเพียงอดีต เพราะต่อจากนี้ไปจะไม่มีชื่อโรงเรียนวรรณวิทย์อีกแล้ว คุณครูพิศมัย ชวนย้อนเรื่องราวในอดีตกับความผูกพันกว่า 60 ปี ที่ได้ใข้ชีวิต ณ สถานที่แห่งนี้ยิ่งกว่าบ้านหลังที่สอง ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มอาคารเรียนเป็นโรงไม้มุงหลังคาด้วยจาก ดูราวคล้ายกับโรงม้า
โรงเรียนวรรณวิทย์ ก่อตั้งเมื่อปี 2489 โดยหม่อมผิว สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ผู้เป็นเจ้าของนามปากกา "วรรณสิริ" ประพันธ์บทนวนิยาย เรื่องสั้นหลายเรื่อง เป็นต้นว่า นางทาส วนิดา นางครวญ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก มีผู้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์หลายครั้ง เดิมที หม่อมผิว จะสอนหนังสือให้ลูกชาวบ้าน บ้านไหนที่มีฐานะไม่ค่อยดีนักในย่านสุขุมวิท พอนานวันเข้าเริ่มมีคนส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนมากขึ้น จึงใช้เงินเก็บที่ได้จากงานเขียนบทประพันธ์ มาตั้งโรงเรียนขนาดเล็กสอนหนังสือเรื่อยมา
จากนักเรียนเพียงไม่กี่ชีวิต จนช่วงหลัง หม่อมผิว อายุมากขึ้น ได้ให้บุตรสาวคนเล็ก คือ ม.ร.ว.รุจีสมร สุขสวัสดิ์ สืบต่อเป็นผู้จัดการโรงเรียนคนที่ 2 รับช่วงสอนหนังสือเรื่อยมาจนโรงเรียนได้รับรองวิทยฐานะจากกระทรวงศึกษาธิการ และได้เริ่มขยับขยายที่ สร้างอาคารเรียนเพิ่ม จวบจนปัจจุบันที่เปิดสอนตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาล จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3
คุณครูพิศมัย เผย ถึงค่าเล่าเรียนว่า โรงเรียนวรรณวิทย์ เก็บค่าเล่าเรียนไม่แพง บางครอบครัวไม่มีเงินจริง ๆ ครูใหญ่ก็ให้เรียนฟรี ปกติค่าเทอมนาน ๆ ทีจะขอปรับขึ้น อย่างล่าสุดเมื่อ 2 ปีก่อน โดยค่าเทอมสำหรับชั้นประถมฯ 2,600 ส่วนมัธยมฯ อยู่ที่ 2,200 บาท ถึงกระนั้นผู้ปกครองบางรายก็ไม่มีจ่าย เพราะพิษเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด 19 ที่ระบาดต่อเนื่อง ทำให้รายได้บางบ้านหดหายไม่มีจ่าย จากแต่ก่อนโรงเรียนมีนักเรียนมากถึงพันคน แต่ปัจจุบันลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ ตอนนี้เหลือรุ่นสุดท้าย 146 คน ทำให้ค่าอุดหนุนที่จะได้จากรัฐบาลก็ไม่พอจ่าย โรงเรียนจึงเป็นหนี้ติดลบ คุณครูบางคนต้องจำยอมลาออกเพื่อพยุงรายจ่ายตรงนี้ เมื่อมาถึงจุดที่ยื้อต่อไม่ไหวก็จำใจต้องยุติบทบาท
เมื่อถามว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ยอมขึ้นค่าเทอม คุณครูพิศมัย ชี้แจงว่า "ขึ้นไม่ได้ เพราะถ้าขึ้นไปมากกว่านี้ เราจะไม่ได้เงินอุดหนุน อีกทั้งนโยบายของคุณหญิง (ม.ร.ว.รุจีสมร) ไม่ให้ขึ้น ยังไงก็ไม่ให้ขึ้นค่าเล่าเรียน ขึ้นแล้วเขาจะเอาที่ไหนให้ คุณหญิงจะพูดอย่างนี้ เราเก็บแค่นี้เขายังไม่มีให้เราเลย แล้วถ้าเราขึ้นอีก เขาจะเอาที่ไหนมา"
เมื่อถามว่าโรงเรียนเคยคิดแผนสำรองหรือปรับตัวเพื่อพยุงโรงเรียนไว้บ้างหรือไม่นั้น คุณครูพิศมัย ตอบว่า "เราทำอะไรก็ลำบากนะ คือจะขึ้นค่าเล่าเรียน เขาก็ไม่มีให้เรา เพราะส่วนมากเป็นเด็กชุมชน คลองเตยบ้าง มักกะสันบ้าง พอโรงงานยาสูบย้ายออกไป ผู้ปกครองเขาก็ย้ายตาม ทำให้เด็กลดน้อยลง เพราะลูกหลานโรงงานยาสูบมาเรียนที่นี่เยอะ"
ส่วนนักเรียนที่จำเป็นต้องศึกษาต่อ ทางโรงเรียนได้ติดต่อเพื่อขอฝากไปยังสถานศึกษาอื่นไว้แล้ว อย่างเด็ก ม. 2 ที่จะขึ้น ม. 3 ติดต่อขอฝากที่โรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย ซึ่งยินดีรับทั้งหมด ส่วนเด็กชั้นประถมฯ ได้ติดต่อขอความอนุเคราะห์ฝากไว้ที่ โรงเรียนสายน้ำทิพย์ โรงเรียนสายน้ำผึ้ง และโรงเรียนปลูกจิต ทั้งนี้อยู่ที่ความพร้อมของผู้ปกครองหากมีที่อื่นสะดวกกว่าก็สามารถดำเนินการเองได้
ที่ดินผืนนี้จากนี้ไปยังไม่มีใครตอบได้ว่าจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้ คุณครูพิศมัย เปิดเผยว่า ยังไม่ทราบ แล้วแต่เจ้าของที่ ยังไม่ทราบว่าเจ้าของที่ (หลาน ม.ร.ว.รุจีสมร) จะดำเนินการอย่างไร แต่ยอมรับว่า มีคนมาติดต่อแต่ไม่ทราบว่าจะมีการตกลงกันอย่างไร บางคนอยากจะมาทำคอนโด บางคนอยากจะมาทำโรงแรม แต่ขึ้นอยู่กับเจ้าของที่
ท้ายที่สุดของวงสนทนา เมื่อถามว่า ก่อนจากลาที่แห่งนี้ อยากบอกอะไรกับโรงเรียนกับเพื่อนครูบ้าง คุณครูพิศมัย ตอบว่า "พูดไม่ถูก เราเห็นใจทุกคนที่ออกไป บางคนออกไปเขามีอาชีพ แต่บางคนไม่สามารถที่ไปมีอาชีพได้ อายุมากแล้ว ก็ยังไม่ทราบว่าจะทำอะไร แล้วเงินสวัสดิการโรงเรียนไม่มีนะ ครูเราเองก็ดีนะ ไม่มีก็ไม่เป็นไร สมัครใจที่จะรับแต่เงินเดือน แล้วก็ออกไป เราเข้าใจกัน เห็นใจกัน"
โรงเรียนวรรณวิทย์จะปิดตัวลงอย่างเป็นทางการหลังจบภาคการศึกษา 2564 ในวันที่ 4 มีนาคมนี้ เนื่องจากไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หลังประสบปัญหาภาวะขาดทุน แม้จะเคยสู้ยื้อชีวิตต่อลมหายใจมาแล้วหลายครั้ง แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจกันของบรรดาศิษย์เก่าทุกรุ่นที่ได้ซื้อบัตรร่วมงาน "สิ้นเสียงระฆังวรรณวิทย์" และร่วมกันบริจาคเงินให้โรงเรียนอันเป็นที่รัก ทำให้สามารถนำเงินก้อนนี้ไปชำระหนี้ให้โรงเรียนวรรณวิทย์ได้สำเร็จ ให้คุณครูทุกท่านปิดประตูโรงเรียนได้อย่างสบายใจและสมภาคภูมิ
ชมภาพบรรยากาศวันงาน "สิ้นเสียงระฆังวรรณวิทย์" คลิกที่นี่