“ทนายผู้กำกับโจ้” เชื่อ สู้ปมไม่เจตนาฆ่าได้


โดย PPTV Online

เผยแพร่




แนวทางการต่อสู้คดีของผู้กำกับโจ้ ผู้ต้องหายืนยันมาโดยตลอดว่าไม่มีเจตนาฆ่า ซึ่งทนายความของผู้กำกับโจ้ เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมากับทีมข่าวพีพีทีวีว่า เตรียมนำประเด็นนี้ไปต่อสู้ในชั้นศาล เพราะมองว่าเป็นเพียงการทำร้ายจนถึงชีวิต ซึ่งเท่ากับฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ซึ่งคาดว่าจะเป็นประเด็นสำคัญของคดีนี้

นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความผู้รับมอบอำนาจของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ “ผู้กำกับโจ้” อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์  ผู้ต้องหาคดีร่วมกับพวกใช้ถุงคลุมศีรษะผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนถึงแก่ความตาย  เปิดเผยกับทีมข่าวพีพีทีวีว่า เตรียมหลักทรัพย์ไว้ส่วนหนึ่งเพียงพอต่อการยื่นขอประกันตัว ผกก.โจ้ ออกมาต่อสู้คดี แต่ยังไม่ยื่นในตอนนี้ เพราะขณะที่มีการฝากขังผู้กำกับโจ้ ตำรวจยื่นเรื่องคัดค้านการประกันตัว

ถอดรหัสปากคำ “ผู้กำกับโจ้” เดินเกมสู้คดี

ทนาย เชื่อ "ผู้กำกับโจ้" ไม่รอดแม้กลับคำให้การ

เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงคิดว่าการยื่นขอประกันตอนนี้ยังไม่เหมาะสม รอให้การสอบสวนดำเนินไปสักพัก แล้วค่อยยื่นประกันตัวตามขั้นตอน ซึ่งก็ทราบว่าตำรวจใกล้จะสรุปสำนวนคดีแล้ว

ส่วนกรณีผลชันสูตรร่วมกัน 4 ฝ่าย ทั้งแพทย์-ตำรวจ-อัยการ-ฝ่ายปกครอง สรุปว่านายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ หรือ “มาวิน” เสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ นายโชคชัย มองว่า ถ้าสาเหตุการตายเป็นแบบนี้ก็ชัดเจนว่าถูกกระทำ แต่ต้องดูที่เจตนา ซึ่งผู้กำกับโจ้ยืนยันมาโดยตลอดว่าไม่ได้เจตนาฆ่า จึงน่าจะเป็นเพียงทำร้ายร่างกายทำให้ถึงแก่ความตาย ส่วนรายละเอียดขอไม่เปิดเผยเพราะเป็นรูปคดีที่จะใช้ในชั้นศาล แต่การที่ผู้เสียชีวิตยังมีสัญญาณชีพอยู่ขณะที่มาถึงโรงพยาบาล ก็เป็นรายละเอียดที่จะต้องไปดูว่าการเสียชีวิตมาจากสาเหตุใดกันแน่

สอบชุด05เพิ่ม 7 นาย ยังไม่พบร่วมมือ "ผู้กำกับโจ้"

โดยประเด็นนี้ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงพฤติกรรมในคลิป ที่มีการพูดทำนองว่าเอาถึงตาย ทนายของ ผกก.โจ้ บอกว่า เป็นเพียงการขู่ให้บอกที่ซ่อนยาเสพติดเท่านั้น ไม่ได้เจตนาที่จะฆ่าผู้ต้องหาให้ตายจริง ๆ เพราะหากผู้ต้องหาเสียชีวิตก็จะไม่ทราบที่ซ่อนยาเสพติด ดังนั้น เจตนาเพียงทำให้กลัวเพื่อบอกที่ซ่อนของเท่านั้น

สำหรับแนวทางต่อสู้คดีของผู้กำกับโจ้  นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ “ทนายเดชา” ซึ่งเป็นคนแรกๆที่ได้รับร้องเรียนกรณีของผู้กำกับโจ้  ให้ความเห็นว่า ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา เปรียบเทียบกับการทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย มีโทษความผิดต่างกันมาก โดยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีโทษขั้นต่ำคือจำคุก 15 ปี สูงสุดคือประหารชีวิต และมาตรา 289 ฆ่าคนตายโดยทรมาน ระวางโทษประหารชีวิตสถานเดียว แต่หากสู้คดีว่าไม่ได้เจตนาฆ่า เป็นการทำร้ายร่างกายจนทำให้ถึงแก่ความตาย จะเข้ามาตรา 290 มีโทษ 3 ปี ถึง 15 ปี

 กรณีของผู้กำกับโจ้ ทนายเดชา มองว่า คดีนี้มีหลักฐานสำคัญคือคลิปวิดีโอที่เห็นพฤติการณ์ชัดเจน หากจะอ้างไม่ได้เจตนาฆ่า น่าจะสู้คดีลำบาก เนื่องจากในปี 2560 เคยมีแนวคำตัดสินของศาลฎีกาในคดีคลุมหัว ศาลบอกว่า แม้ไม่ได้มีเจตนาฆ่าแต่แรก โดยมีเจตนาทำร้าย แต่ย่อมเล็งเห็นผลว่าต้องขาดอากาศ ซึ่งในคดีดังกล่าวใช้ถุงเพียงใบเดียว ศาลก็พิพากษาว่าเป็นการเจตนาฆ่าแล้ว แต่ผู้กำกับโจ้ใช้ถึง 6 ใบ ก็ต้องไปตอบคำถามในศาลว่าถ้าไม่เจตนาฆ่า ทำไมต้องใช้ถุงจำนวนมากขนาดนี้

คำถาม - คำตอบสุดพีค จากปาก "ผู้กำกับโจ้" ธิติสรรค์ อุทธนผล สารภาพความจริง หรือ ข้ออ้างสู้คดี!!

ขณะที่ นายน้ำแท้ มีบุญสล้าง ผอ.สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาการสอบสวนและการดำเนินคดี สำนักงานอัยการสูงสุด  ซึ่งเข้ามามีส่วนในการกระบวนการสอบคดีนี้ด้วย พูดถึงประเด็นนี้ว่า การกระทำที่ใช้ถุงคลุมศีรษะ เป็นพฤติกรรมที่เล็งเห็นผลอยู่แล้วว่าอาจจะทำไม่ผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ซึ่งการพิจารณาจะดูที่การกระทำตอนนั้น ไม่ได้ดูการกระทำในภายหลัง ดังนั้นจะอ้างว่าไม่เจตนาเพราะหลังจากนั้นมีการปั๊มหัวใจและพาไปส่งโรงพยาบาล ไม่ได้ เพราะเป็นคนละการกระทำกัน

ส่วนกรณีที่ผู้กำกับโจ้อ้างว่าใช้ถุงคลุมเพื่อต้องการเค้นหาที่ซ่อนยาเสพติด นายน้ำแท้ ระบุว่า ประเด็นนี้ไม่ได้สะท้อนเจตนา แต่เป็นมูลเหตุจูงใจของการกระทำ ซึ่งพฤติกรรมที่ใช้ถุงหลายใบไปคลุมศีรษะต้องถามว่ามีเจตนาอะไร ต้องการจะให้ทรมานที่สุดหรือไม่

PR-โปรแกรมผลบอล-2_B PR-โปรแกรมผลบอล-2_B
TOP อาชญากรรม
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ