แม่ค้าโอดราคาหมูพุ่ง กิโลละ 220 บาท แพงสุดในรอบ50 ปี ร้านอาหารบ่นแบกต้นทุนสูง
พาณิชย์ จ่อ คุมราคาหมู-ห้ามส่งออก ถ้าราคายังขึ้นต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 65 เสียงสะท้อนของ นางสาวนงค์นุช ถาวระ ผู้ค้าเนื้อหมูในตลาดห้วยขวาง ที่ขายหมูมานานกว่า 30 ปี ยืนยันว่า ผู้ค้าหมูไม่ได้กำไรจากราคาหมูที่ปรับสูงขึ้น เพราะราคาหมูที่ปรับสูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 200 กว่าบาท ทำให้ลูกค้าลดลง และหลีกเลี่ยงไปบริโภคอย่างอื่นที่มีราคาถูกกว่า
ขณะที่รายจ่ายของเขียงหมูมีราคาเท่าเดิม อยากเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการนำเข้าเนื้อหมูจากต่างประเทศเข้ามาทดแทน เนื้อหมูไทยที่หายไปจากระบบ
เพื่อปรับสมดุลกลไกราคาเนื้อหมูให้ลดลง ก่อนที่ราคาเนื้อหมูจะขยับขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 300 บาท ซึ่งหากถึงจุดนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหมูจะเดือดร้อนมากกว่านี้ เพราะลูกค้าคงหันไปบริโภคอย่างอื่นแทน
ทีมข่าวยังได้รับข้อมูลจากผู้ประกอบการโรงเชือดหมู เล่าว่า หมูที่ตอนนี้ซื้อมา เนื้อน้อยลงจากเดิม ส่วนใหญ่มีแต่มันหมู สาเหตุเป็นเพราะ หมูที่ถูกนำมาขายในตลาดตอนนี้ เป็นหมูที่ยังโตไม่เต็มที่ แต่ต้องรีบนำออกมาขาย เพราะ ของขายตลาด
โดยวงจรชีวิตของหมู ช่วงที่น้ำหนัก 50-70 กิโลกรัม หมูจะกินเก่ง ทำให้มีไขมันเยอะ แต่ถ้าเลี้ยงต่อไป จนหมูหนัก 80-90 กิโลกรัม ฟาร์มหมูจะปรับสูตรอาหารลดไขมัน สร้างเนื้อ แต่สถานการณ์ตอนนี้ทำให้เกิดการเร่งขาย เป็นปัญหาที่ต่อยอดมาจากการที่หมูตายไปจำนวนมาก ทำให้หมูขาดตลาด
ส่วนประเด็นเรื่องต้นตอหมูตาย ล่าสุดวันนี้ นายสัตวแพทย์ สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ แถลงข่าวออนไลน์ ยืนยันอีกครั้ง ว่า ไม่เคยเห็นหนังสือที่ภาคีคณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทยแจ้งว่าพบการซากหมูที่ตายแล้วติดเชื้อไวรัสอหิวาต์แอฟริกาในสุกร โดยจะตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ และจะดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ย้ำว่ากรมฯไม่ได้นิ่งนอนใจ
อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวต่อว่า ใน 2 วันที่ผ่านมา ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจเลือดสุกรหาเชื้อโรค AFS ในพื้นที่เสี่ยง 10 ฟาร์ม เก็บตัวอย่าง 305 ตัวอย่าง, โรงฆ่าสัตว์ 2 แห่ง เก็บตัวอย่าง 5 ตัวอย่าง ตอนนี้กำลังรอผลการตรวจจากสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติว่าผลจะเป็นอย่างไร ซึ่งจะทราบผลภายใน 2 วันนี้ จากนั้นจะดำเนินการแถลงข่าวให้เร็วที่สุด
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย วันนี้เดินทางไปยื่นหนังสือขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ไต่สวนสอบสวนเอาผิดอธิบดีกรมปศุสัตว์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เนื่องจากมองว่า เข้าข่าย ทุจริตต่อหน้าที่ ปกปิดข้อมูลการแพร่ระบาดของเชื้ออหิวาต์แอฟริกาในหมู หรือ AFS
นายศรีสุวรรณ ตั้งข้อสังเกตว่า กรณีหมูตายมีมานานแล้ว รวมถึง หนังสือจากห้องแล็ปของคณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ระบุสาเหตุที่หมูตายมาจากโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู แต่กรมปศุสัตว์ไม่ออกมาชี้แจง
นายศรีสุวรรณ โจมตีว่า การปกปิดข้อมูลการแพร่ระบาดของโรคทำไปเพราะต้องการโอบอุ้มเอกชนรายใหญ่ หากประกาศว่าเกิดการระบาดจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกเนื้อหมู และต้องจ่ายค่าชดเชยให้ผู้ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการรายย่อยต้องเลิกอาชีพเลี้ยงหมู เพราะแบกรับต้นทุนไม่ไหว
ทีมข่าวพีพีทีวี พบว่า ตั้งแต่ปี 2562 รัฐบาลพูดคุยกันเรื่อง โรคอหิวาต์แอฟริกาในหมูมาตลอด มีการของบประมาณเพื่อดำเนินการ โดนใช้คำว่า ขอจัดสรรงบประมาณเพื่อ “ป้องกัน” โรค เช่น เมษายน 2562 คณะรัฐมนตรี เห็นชอบแผนรับมือ โรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู และกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมสนับสนุนงบประมาณรวม 148 ล้านบาท (โดนจะแบ่งจ่าย 3 ปี )
จากนั้น มีนาคม 2563 มีการของบประมาณเพิ่ม อีก 523 ล้านบาท และ กุมภาพันธ์ 2564 มีการอนุมัติประมาณ เพื่อใช้ชดเชยให้เกษตรกรที่ทำลายหมูตามมาตรการป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู 279 ล้านบาท ส่วน กรกฎาคม 2564 ก็อนุมัติงบประมาณเพิ่มอีก 140 ล้านบาท แต่งบประมาณทั้งหมดถูกระบุว่าเป็นงบสำหรับป้องกันการระบาด ไม่ใช่การแก้ปัญหาการระบาด สะท้อนว่า จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการระบุชัดว่า ไทยพบการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู จากทางภาครัฐเลย มีแค่การระบุจากกลุ่มสัตวแพทย์