เรื่องร้อนส่งผลโดยตรงต่อปากท้องชาวบ้าน ณ เวลานี้ คงหนีไม่พ้นราคาน้ำมัน ล่าสุดเช้าวันนี้( 8 ก.พ.65) ราคาขายปลีกกลุ่มเบนซินเพิ่ม +50 สตางค์ต่อลิตร เว้นยกเว้นดีเซลคงเดิมที่ 29.94 บาทต่อลิตร จ่อแตะ 30 บาทต่อลิตรอยู่รอมร่อ ท่ามกลางม็อบรถบรรทุกที่บุกกรุงไล่นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ออกจากตำแหน่ง เพื่อรับผิดชอบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นกระทบต่อภาคขนส่ง
เปิดปัจจัยดัน ‘ราคาน้ำมันขึ้นต่อ’
เช็กราคาน้ำมัน พรุ่งนี้ โออาร์ - บางจาก ปรับขึ้นยกแผง +50 สต. เว้นดีเซลคงเดิม
ทำให้มีคำถามถึง สภาพคล่องกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงว่าจะมีเพียงพอที่จะเข้ามาอุ้มราคาน้ำมันในขณะนี้หรือไม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีแผนการกู้เงินเสริมสภาพคล่องกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง วงเงิน 20,000 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดที่จะได้เงินกู้ในเดือนมิ.ย.นี้
แต่เมื่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกทะยานขึ้นโดยราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์ล่าสุด (สัปดาห์ที่ 31 ม.ค.- 4 ก.พ. 65 ) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.9%-4.1% จากสัปดาห์ก่อนหน้าโดยสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือน เม.ย. ลดลง 58 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 92.69 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ สถานะกองทุนน้ำมันตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 พบว่า ใช้ไปแล้วทั้งสิ้น 38,386 ล้านบาท โดยล่าสุด ณ วันที่ 30 ม.ค.2565 ฐานะกองทุนน้ำมันรวม ติดลบถึง 14,080 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จึงต้องจับตาดูว่าการกู้เงินจะเกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนดหรือไม่ ขณะที่เงินที่ไหลออกปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาทจะคาดว่าจะหมดในช่วง 3 เดือนข้างหน้า และนับจากนี้ไปใช้เงินอีกเท่าไหร่เพื่อมาอุดหนุนราคาพลังงาน
การใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่ออุดหนุนราคาเชื้อเพลิง โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม กำลังจะซ้ำรอยการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนเมื่อราว 10 ปีที่แล้ว ที่มีการใช้เงินไปเกือบแสนล้านบาท โดยมีการใช้เงินกองทุนในช่วงน้ำมันขาขึ้น และฐานะกองทุนอยู่ในฐานะติดลบ
วอนม็อบรถบรรทุก เข้าใจรัฐบาล ตรึงดีเซลตามราคาที่ขอไม่ได้
แต่สถานการณ์ในปีนี้ แตกต่างจากในอดีต ซึ่งในครั้งนั้นประเมินว่าราคาน้ำมันจะขึ้นชั่วคราว ประมาณ 3 เดือน แต่ปรากฏว่าราคาน้ำมันขยับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและกินเวลายาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ต้องมีการกู้เงินมาใช้อุดหนุน
แต่ต่อมา นับว่าโชคดีที่ว่าราคาน้ำมันปรับลดลง ทำให้ค่อย ๆ จัดเก็บเงินเข้ากองทุนได้มากขึ้นจนสามารถชำระหนี้สินเกือบแสนล้านได้และกองทุนกลับมามีสถานะเป็นบวก
แต่ในครั้งนี้ น้ำมันกลับเป็นขาขึ้นอีกครั้งจากหลายปัจจัย และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องไปอีกนาน ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าการอุดหนุนราคาน้ำมันในครั้งนี้อาจใช้เงินมากกว่าครั้งก่อน และขณะนี้กองทุนมีฐานะติดลบไปแล้วกว่าหมื่นล้านบาท
หากเป็นไปตามที่บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่าราคาน้ำมันโลกจะขยับขึ้นเหนือ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลในอนาคตอันใกล้นี้และทรงตัวสูงจนถึงปีหน้า อาจจะทำให้ต้องกู้เงินเพิ่มขึ้น และหากไม่มีมาตรการอื่นมาช่วย อาทิ ลดภาษีสรรพสามิต ก็มีแนวโน้มว่ารัฐบาลอาจต้องใช้เงินมากถึงแสนล้านบาทในการอุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศ เมื่อราคาน้ำมันทรงตัวเหนือ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลยาวถึงปีหน้า