จากปริมาณการพึ่งพาพลังงานและการนำเข้าสินค้าเกษตรค่อนข้างมาก ขณะที่ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านั้นพุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากังวล รวมถึงสินค้าประเภทอาวุธ เนื่องจากรัสเซียคือแหล่งอาวุธสำคัญของทั้ง จีน อินเดีย และเวียดนามในช่วงสองทศวรรษที่ผ่าน ไปจนถึงภาคการท่องเที่ยวที่ต้องสูญเสียนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียไป สะท้อนได้ว่า "ภูมิภาคเอเชีย" กลับกลายเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวค่อนข้างมาก
“นทท.รัสเซียหาย” พิษสงครามซ้ำเติมความหวังการท่องเที่ยวฟื้นตัว
ชาตินาโตเห็นพ้องส่งอาวุธหนักให้ยูเครน
จากราคาอาหารไปจนถึงการท่องเที่ยวและการจัดหาอาวุธ ประเทศในเอเชียแปซิฟิก อาจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สัมผัสถึงความขัดแย้งโดยตรงก็ตาม : รายงานระบุ
สภาวะสงครามมีผลทำให้ราคาอาหารมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ และทั้ง 2 ประเทศ (รัสเซีย-ยูเครน) ก็เป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ให้กับเอเชีย เช่น น้ำมัน ปุ๋ย ธัญพืช ฯลฯ เป็นลูกโซ่ทำให้อุปทานขาดแคลนทั่วโลก ก็ยิ่งผลักดันให้ราคาสินค้าเกษตรและธัญพืชพุ่งขึ้นไปอีก
โฆษกรัฐบาลรัสเซียยอมรับ กองทัพรัสเซีย “สูญเสียหนัก”
EIU เตือนว่า การพึ่งพาพลังงานและการนำเข้าสินค้าเกษตรในระดับค่อนข้างสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ อาจทำให้เกิดการหยุดชะงักในภาคเกษตร แม้ว่าจะไม่ได้นำเข้ามาจากรัสเซียหรือยูเครนโดยตรงก็ตาม
UN ขับรัสเซียออกจากหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชน
ขณะเดียวกัน การที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้นดันราคาทั้ง ราคาน้ำมัน ก๊าซ และธัญพืชในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นนับตั้งแต่การโจมตีเกิดขึ้นปลายเดือนกุมภาพันธ์ ก็มีบางประเทศที่ทั้งได้ประโยชน์และเสียประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว
สัญญาการซื้อขายล่วงหน้าข้าวสาลี ยังทำกำไรเพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่สัญญาการซื้อขายล่วงหน้าข้าวโพด เพิ่มขึ้นกว่า 40% ในช่วงเวลาเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าแม้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านั้นจะปรับตัวสูงขึ้นก็ยังมีบางประเทศอาจได้รับประโยชน์ เพราะถูกเลือกให้เป็นตลาดทดแทนรัสเซียหรือยูเครนได้
ประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น :
- ผู้ส่งออกถ่านหิน: ออสเตรเลีย / อินโดนีเซีย / มองโกเลีย
- ผู้ส่งออกน้ำมันดิบ: มาเลเซีย / บรูไน
- ก๊าซธรรมชาติเหลว: ออสเตรเลีย / มาเลเซีย / ปาปัวนิวกินี
- นิกเกิล: อินโดนีเซีย / นิวแคลิโดเนีย
- ข้าวสาลี: ออสเตรเลีย / อินเดีย
ขณะเดียวกัน ประเทศที่จะได้รับผลกระทบและเผชิญความเสี่ยงด้านราคามากที่สุด ประกอบด้วย
- สินค้าปุ๋ย : อินโดนีเซีย (มากกว่า 15%), เวียดนาม (มากกว่า 10%), ไทย (มากกว่า 10%), มาเลเซีย (ประมาณ 10%), อินเดีย (มากกว่า 6%), บังคลาเทศ (เกือบ 5%), เมียนมาร์ ( ประมาณ 3%) ศรีลังกา (ประมาณ 2%)
- สินค้ากลุ่มธัญพืชจากรัสเซีย : ปากีสถาน (ประมาณ 40%), ศรีลังกา (มากกว่า 30%), บังคลาเทศ (มากกว่า 20%), เวียดนาม (เกือบ 10%), ไทย (ประมาณ 5%), ฟิลิปปินส์ (ประมาณ 5%), อินโดนีเซีย (น้อยกว่า 5%), เมียนมาร์ (น้อยกว่า 5%), มาเลเซีย (น้อยกว่า 5%)
- สินค้ากลุ่มธัญพืชจากยูเครน : ปากีสถาน (เกือบ 40%), อินโดนีเซีย (มากกว่า 20%), บังคลาเทศ (เกือบ 20%), ไทย (มากกว่า 10%), เมียนมาร์ (มากกว่า 10%), ศรีลังกา (เกือบ 10%), เวียดนาม (น้อยกว่า 5%), ฟิลิปปินส์ (ประมาณ 5%), มาเลเซีย (ประมาณ 5%)
ในส่วนของการค้าอาวุธ เมื่อรัสเซียเป็นผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก EIU ระบุว่า ประเทศที่นำเข้าอาวุธจากรัสเซีย มีทั้ง จีน อินเดีย และเวียดนาม ซึ่งมาตรการคว่ำบาตรก็จะมีผลต่อการนำเข้าในอนาคต
โดยประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าอาวุธของรัสเซียมากที่สุดระหว่างปี 2000-2020 คือ
- มองโกเลีย (ประมาณ 100%)
- เวียดนาม (มากกว่า 80%)
- จีน (เกือบ 80%)
- อินเดีย (มากกว่า 60%)
- ลาว (มากกว่า 40%)
- เมียนมาร์ (ประมาณ 40%)
- มาเลเซีย (มากกว่า 20) %)
- อินโดนีเซีย (มากกว่า 10%)
- บังคลาเทศ (มากกว่า 10%)
- เนปาล (มากกว่า 10%)
- ปากีสถาน (น้อยกว่า 10%)
นอกจากนี้ ในงานวิจัยยังมีการกล่าวถึงประเทศที่สูญเสียนักท่องเที่ยวรัสเซียไปด้วย และ “ไทย” คือผู้เสียผลประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากใน ปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 และสงคราม มีชาวรัสเซียมาเยือนประเทศไทย 14 ล้านคน รองลงมาคือ เวียดนาม อินโดนีเซีย ศรีลังกา และมัลดีฟส์ ตามลำดับ
ชาตินาโตเห็นพ้องส่งอาวุธหนักให้ยูเครน
หากไม่มีสงคราม หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายการเดินทางจากสถานการณ์โควิด-19 นักท่องเที่ยวรัสเซียก็จะเป็นกลุ่มขับเคลื่อนสำคัญของประเทศเหล่านี้เนื่องจากนักท่องเที่ยวจากจีนยังถูกจำกัดการเดินทางออกนอกประเทศ