10 ปีในวงการ พระเอกฮอต “เจษ เจษฎ์พิพัฒ” ตั้งเป้าหมายที่ปัจจุบัน เพื่อสานต่ออนาคต


โดย PPTV Online

เผยแพร่




คุยกับพระเอกดัง “เจษ - เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์” การทำงาน 10 ปีในวงการ และล้วงหัวใจปลูกต้นรักนางเอกสาวชื่อดัง

"เจษ" ใช้ฝีมือพิสูจน์งาน ใช้ใจพิสูจน์รัก

สุดยอด! “เจษ” จบป.โท คว้าเกรดเฉลี่ย 3.91

หล่อเสน่ห์เหลือล้น นาทีนี้ต้องยกให้พระเอกสุดฮอต เจษ - เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ ที่โลดแล่นบนถนนสายมายา โชว์ฝีไม้ลายมือทางการแสดงมาแล้วถึง 10 ปีเต็ม และวันนี้เขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและยื่นมือรับทุกโอกาสที่เข้ามาทำให้ประสบความสำเร็จ 
ดั่งคำที่เขาเปิดใจกับทีมงาน “พีพีทีวี” ว่า “ผมเชื่อว่าถ้างานปัจจุบันมันดีมากๆ มันจะส่งผลต่ออนาคตเอง” และเมื่อมีโอกาสได้พูดคุย เราเลยขอล้วงลึกเปิดใจทั้งเรื่องงาน ชีวิตส่วนตัว ที่ต้องขอบอกว่าลัคกี้อินเกม & ลัคกี้อินเลิฟสุดๆ  
 

ละครเรื่องล่าสุด “วิมานทราย” กระแสตอบรับดีจนถึงตอนจบ ที่ผ่านมาเป็นผู้ชายอบอุ่น พอต้องมาพลิกบทเป็นพระเอกร้ายๆเราหวั่นๆไหม?

“ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณแฟนๆทุกคนที่ชื่นชอบละครนะครับ (ยิ้ม) ถามว่าเรื่องบทมีหวั่นใจไหมเหรอครับที่ต้องพลิกมาเป็นพระเอกร้ายๆนิดนึง (หัวเราะ) ก็ไม่หวั่นนะครับ ก็ตั้งใจทำงานเต็มที่แหละครับ แล้วก็โชคดีด้วยที่ได้เจอ “เอสเธอร์” และนักแสดงหลายๆคน ทีมงานที่ช่วยให้มันมีเหตุและผลสมเหตุสมผล แล้วก็เวลาเล่นก็ช่วยเสริมให้มันดูน่าดูมากขึ้น

ถามว่าต้องทำการบ้านหนักไหม อันนี้ง่ายกว่าผู้ชายอบอุ่นอีก (หัวเราะ) ถ้าเป็นนักแสดงจะรู้ว่าการเล่นอารมณ์ที่ชัดเจน อย่างเกรี้ยวกราดหรือว่าโกรธ มันจะชัดและง่ายกว่า ความละมุนมันมีหลายแบบมากแล้วแต่เราจะเลือกเล่น แต่มันมีไม่กี่แบบที่มันพอดีและคนชอบ แล้วพอมาเป็นแบบมันก็เข้าใจได้ว่าจะเล่นแบบไหน แต่มันก็จะยากตรงที่ค้องเล่นให้คนดูรู้สึกว่าพระเอกก็ยังรักนางเอกอยู่นะในการกระทำที่มันตรงข้ามกับความรัก ก็เป็นความท้าทายในแบบนั้นมากกว่า”

เส้นทางในวงการบันเทิง?

“10 ปีแล้วครับ เราก็เติบโตไปเรื่อยๆในฐานะของนักแสดง ฝีมือประสบการณ์แล้วก็วุฒิภาวะด้วย แล้วตำแหน่งงานที่ได้รับก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนแรกมาตอนนี้ก็ดีใจครับ ก็ถือว่าพัฒนามาเยอะในทุกๆด้านในสายงานนี้”

ถ้ามองย้อนกลับไปวันแรกๆที่เข้าวงการมาคิดว่าวันนึงจะมาถึงจุดนี้ไหม?

“เราตั้งเป้าไว้ แต่ว่าผมเป็นคนไม่ค่อยวางไกล เพราะว่าผมก็ไม่รู้ว่าถ้าเราวางไกลไประหว่างทางเราจะทำมันยังไงครับ อย่างตอนนี้ผมก็เป็นคนเป้าหมายสั้นๆ อย่างเช่นว่าเราจะทำยังไงก็ได้ให้งานปัจจุบันของเราดีที่สุด แล้วผมเชื่อว่าถ้างานปัจจุบันมันดีมากๆ มันจะส่งผลต่ออนาคตเอง ตอนนั้นผมก็มองอย่างนี้เหมือนกัน ทุกงานที่เราได้รับเลยโฟกัสกับมันมากๆ ไม่ได้มองไปไกลว่าจะมาเป็นพระเอกขนาดนี้”

กว่าจะมาถึงวันนี้ที่ทุกคนยอมรับ เราผ่านความผิดหวังหรืออุปสรรคอะไรมาเราก้าวผ่านมายังไง?

“ก็สู้แหละครับ แล้วผมมีครอบครัวที่คอยซัพพอร์ตตลอดเวลา คอยให้กำลังใจ ไม่ได้กดดันว่าเราจะต้องได้เมื่อไหร่ ต้องเป็นพระเอกเลยตอนนั้น เขาก็เข้าใจ แล้วก็ซัพพอร์ตงานผม ดูงานผมทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นพระเอกเป็นตัวร้ายหรืออะไรก็ตาม เราเลยรู้สึกว่าเขายังภูมิใจในตัวเราทุกๆตำแหน่งที่เราได้ ก็เลยไม่รู้สึกท้ออะไรครับ เวลาเหนื่อยกลับไปเห็นเขานั่งดูละครเราก็หายเหนื่อยแล้ว ครอบครัวคือกำลังใจหลักๆ รวมถึงแรงบันดาลใจด้วย ที่ตั้งใจทำงานให้ดีขึ้นก็อยากให้เขาเห็นว่าเราดีขึ้น ก็คือครอบครัวด้วยเหมือนกัน”

ออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดี แต่ออกให้ถูกวิธี จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

10 ปี ที่ผ่านมามองว่านานไหม?

“ถ้าพูดถึงตัวเลขผมว่ามันก็นานนะ เพราะว่าเราก็เห็นบางคนที่เร็วกว่าเราก็มี หมายถึงว่าอยู่ในจุดที่เราอยู่แต่ว่าใช้เวลาน้อยกว่าเรา แต่ผมก็เข้าใจแหละว่าเรื่องของวงการบันเทิงมันเป็นเรื่องของโอกาส เรื่องของดวงด้วยครับ เราก็ภูมิใจนะ เพราะว่าเราก็พิสูจน์และเราก็ได้สิ่งนี้มาด้วยพัฒนาการของเรา และงานต่างๆที่มันดีขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยรู้สึกว่าบางทีถ้าผมมีโอกาสในเวลาที่มันเร็วกว่านี้ ผมอาจจะยืนระยะมันไม่ได้ก็ได้”

มองว่าการมีระยะเวลาก็เป็นอีกข้อดีนึง?

“มันเป็นข้อดี ผมมองแบบนั้น เพราะว่าผมไม่ได้เริ่มจากคนที่เก่งตั้งแต่แรก ถ้าผมได้โอกาสในวันที่ผมยังไม่เก่งอ่ะ ผมอาจจะใช้โอกาสนั้นได้ไม่ดีพอแล้วก็ไม่ได้โอกาสนั้นอีกเลยก็ได้ครับ”

ย้อนกลับไปตอนที่รู้ว่าจะได้เล่นละครเรื่องแรกเป็นยังไงบ้าง?

“ตอนแรกดีใจ แต่พอได้ทำงานแล้วรู้สึกว่ากดดันมาก แล้วก็รู้สึกอึดอัดด้วยนะ เพราะผมว่าผมทำไม่ได้ดีเท่าไหร่ คือผมเริ่มจากเด็กที่หยิบจับอะไรก็ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน กีฬา ดนตรี มันก็แทบจะครบแล้วสำหรับเด็กผู้ชายคนนึง แล้วพอมาเจอสิ่งที่แบบทำยังไงก็ทำไม่ได้สักที ไม่ดีสักทีเวลาอันสั้นด้วย ก็รู้สึกไม่โอเคกับตัวเอง แล้วก็ไม่เข้าใจกับสถานการณ์ตอนนั้นที่เป็นอยู่ แต่มันไม่สามารถใช้เวลาสั้นๆในการที่จะดีขึ้นได้เลย มันก็เลยมีความรู้สึกกดดันเยอะมาก แล้วก็อึดอัดว่าทำไมทำไม่ได้สักที ทีเรื่องอื่นยังทำได้เลย ทำไมเรื่องนี้ทำไม่ได้”

"เช็ก 5 อาการโอมิครอน" ที่แพทย์ตรวจพบในกลุ่มผู้ติดเชื้อโควิด

อะไรที่เรารู้สึกว่าทำไม่ได้ ณ ตอนนั้น?

“ก็ในเรื่องของการแสดงนี่แหละครับ ตอนนี้ก็กลับไปนั่งวิเคราะห์นะ คือผมเป็นเด็กใช้หัวมาตลอดชีวิต เรียนก็เรียนเลข ดนตรีก็ใช้จากความจำการฝึกซ้อม กีฬาก็ดูเยอะๆ ซ้อมเยอะๆก็เล่นได้ แล้วในเรื่องของความรู้สึกความเข้าใจของตัวละคร มันทำให้ผมไม่เข้าใจว่าตัวละครรู้สึกอะไร การสวมบทบาทเป็นคนอื่นในในอารมณ์ที่ตัวผมเองไม่เคยรู้สึก ผมก็จะนึกไม่ออกว่ามันคือความรู้สึกอะไร เราได้แต่แสร้งทำว่าเรารู้สึก มันเลยยากในช่วงแรกๆ”

ปรับตัวนานไหมกว่าจะลงตัว?

“ก็ยังปรับอยู่เรื่อยๆนะครับ ผมว่ามันพัฒนาได้เรื่อยๆแหละ แต่ตอนแรกต้องปรับเยอะมากๆ ถึงมุมมอง ทัศนคติ ต่อชีวิตประจำวันเลยครับ เมื่อก่อนมันค่อนข้างเป็นเด็กใช้เหตุและผลและหลักการเยอะ และไม่ค่อยได้สนใจความรู้สึกตัวเองและคนรอบข้าง ก็เลยต้องเปลี่ยนวิธีมอง พยายามสนใจว่าเขารู้สึกยังไง สนใจตรวจสอบความรู้สึกตัวเองว่าตัวเองรู้สึกยังไง รู้สึกกับอะไรรอบๆตัวเยอะขึ้น มันช่วยได้ครับ มันช่วยให้เราสังเกตุคนและเราก็จะมีเช็ตของความรู้สึกหลายๆแบบที่มันไม่ใช่ความรู้สึกของเราอย่างเดียวเข้ามาเป็นเมมโมรี่ในตัวเรา”

“ทิดสมปอง” เขินหนัก ยอมรับเคยแอบชอบ “บุ๋ม ปนัดดา”

เราเริ่มปรับตัวเองหาคนอื่นยังไง?

“ใช่ครับ เราปรับตัวเอง เมื่อก่อนก็มีกำแพง แต่ก็ต้องค่อยๆลดลดทิฐิตัวเองลงมาเรื่อยๆ ตัดสินคนน้อยลง เมื่อก่อนเอาง่ายๆเหมือนเราเป็นเด็กเก่ง เราก็จะรู้สึกว่า ไม่สิ คุณต้องทำแบบนี้ๆ ต้องทำแบบที่ผมทำ เพราะว่าผมทำมาแล้วผมทำได้นะ ผมก็จะเป็นเหตุผลๆไปหมดเลย แล้วมันก็เลยทำให้เราเป็นแบบนั้น แล้วพอย้อนกลับมาที่ตัวเราว่าการเป็นแบบนั้นมันทำให้เราทำงานของเราได้ไม่ดีพอ เราก็เลยต้องปรับ พอปรับแล้วก็ดีขึ้น และพอเลือกที่จะไม่ตัดสินคนกลายเป็นว่าเราเข้าใจคนแบบที่ต่างจากเรา ทุกคนมีเหตุและผลของตัวเองหมด และมีความรู้สึกตั้งต้นไม่เหมือนกัน อาจจะตื่นมาไม่เหมือนกันด้วยซ้ำ ตอนนั้นเราไม่ได้เข้าใจตรงนี้ไง พอเราเข้าใจแล้ว เราก็เริ่มเข้าใจคน มีความสุขมากขึ้น อยู่กับคนง่ายขึ้น มันก็ดีกับการทำงานและชีวิตจริงด้วย เพราะการทำงานตรงนี้ก็ต้องเจอคนค่อนข้างเยอะ

ผมเป็นคนมีพื้นที่ของตัวเอง คนที่จะเข้ามาก็ต้องเป็นคนที่ใกล้ตัว เป็นคนที่ไว้ใจ ครอบครัว เพื่อนสนิท แฟน คือผมเป็นคนที่ไม่ชอบบังคับให้ใครทำอะไร เพราะฉะนั้นผมก็ไม่ชอบให้ใครมาบังคับให้ผมทำอะไรด้วย แล้วด้วยความเป็นอย่างนั้นบางทีบางคนที่เราอาจจะไม่ได้สนิทมากหรือแม้แต่สนิทมากก็ตาม ผมก็ไม่ชอบให้มาบังคับนะ ด้วยความที่บ้านผมหล่อหลอมผมมาแบบนี้ด้วย พ่อแม่ไม่เคยบังคับอะไรผมเลย อย่างการเรียน กีฬา ดนตรี ผมสนใจเอง ก็ลุยเอง ครอบครัวก็จะเป็นฝ่ายซัพพอร์ต แต่ก็จะคอยดู คอยสอนให้รู้ว่าอะไรที่ไม่สมควร แต่ว่าไม่เคยมาชี้ทางว่าจะต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ ดังนั้นผมจะถือคติว่าใครจะเป็นอะไรก็แล้วแต่เขา แค่ไม่เดือดร้อนคนอื่น ไม่ผิดศีลธรรม”

เปิดมุมสายดนตรี “เจษ เจษฎ์พิพัฒน” ตามรอยลุง “ต๋อง เทวัญ” นักแซกโซโฟนระดับตำนาน

เปิดมุมสายดนตรี “เจษ เจษฎ์พิพัฒน” ตามรอยลุง “ต๋อง เทวัญ” นักแซกโซโฟนระดับตำนาน

บางมุมในชีวิตเรา ก็ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน เป็นลูกชายเจ้าของกิจกาจตลาด หรือเป็นหลานชาย “ต๋อง เทวัญ” หลายคนว้าว?

“ผมไม่รู้ว่าพูดไปแล้วมันจะเอฟเฟกต์อะไรมากกว่ามั้งครับ ผมไม่อยากให้มันเอฟเฟกต์อะไรเลยไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือทางลบ ผมยินดีที่จะพูดให้คนรู้นะ แต่ผมกลัวว่าคนจะตัดสินเราจากแวดล้อมของเรา อย่างถ้าเจอพาดหัวข่าวลูกเจ้าของตลาด ก็อาจจะมีคนคิดไว้เรา เรามีชีวิตสบาย ลูกคุณหนูหรือเปล่า ผมจะกลัวตรงนั้นมากกว่า ผมภูมิใจเสมอที่ครอบครัวผมเป็นใคร แต่ผมอยากให้คนโฟกัสที่ตัวผม โฟกัสที่ผงานและฝีมือของผมเอง

ในส่วนของการเล่นดนตรี ช่วงที่เล่นเยอะๆก็จะมีความฝันว่าอยากเป็นนักดนตรีเลยด้วยซ้ำ แต่การอยู่ตรงนี้ผมก็โอเคนะ อีกอย่างผมตีกลองด้วย ก็ต้องมีวง ซึ่งการจัดรวมกรุ๊ปก็ต้องเป็นคนที่มีทัศนคติเดียวกัน ตอนที่เล่นสมัยมัธยมหรือมหาวิทยาลัย คือทุกคนก็เล่นดนตรีและเรียนบริหาร สุดท้ายแล้วจะให้คนที่เรียนบริหารมาสายดนตรีหมดมันก็ยาก มันเป็นสิ่งที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน แต่การเป็นนักแสดงเราตัดสินใจคนเดียวได้”

เราต้องสานต่อกิจการที่บ้านไหม?

“จริงๆต้องทำครับ แต่ตอนนี้ยัง ถือว่าเป็นธุรกิจครอบครัว เป็นกงสี คุณพ่อผมเป็นคนดูแลอยู่ ท่านก็ไม่ได้ดูแลแค่ครอบครัวอย่างเดียว ดูแลครอบครัวพี่น้องของท่านด้วย พ่อเป็นรุ่นต่อไปก็ต้องเป็นรุ่นพวกผม สุดท้ายก็ต้องทำกันทุกคน เพราะสิ่งที่ผมเรียนมาก็เพื่อสิ่งนี้ ถามว่าจะมีโอกาสทำควบคู่กับวงการบันเทิงไหมเหรอ คือผมไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือเปล่านะ แต่ที่ผมมองไว้ผมไม่อยากให้ควบคู่กัน เพราะอยากทำอะไรก็เต็มที่ตรงนั้นไม่เลย และผมก็ไม่อยากหาข้ออ้าง ไม่อยากมีข้ออ้างที่จะอ้างว่าต้องทำสิ่งนึงและไม่ต้องทำอีกสิ่งนึง สมมติว่าต้องประชุมแต่ผมบอกว่าต้องถ่ายละคร หรือมีคิวงานแต่ไปผมติดประชุมไปไม่ได้ คือตรงนี้ผมไม่อยากให้ใครสักคนรู้สึกว่าผมไม่เต็มที่กับฝั่งใดฝั่งนึง ตอนนี้ในส่วนของกิจการก็มีพี่ชายคนโตที่ช่วยอยู่ ผมเองก็ทำงานตรงนี้ไปก่อน งานตรงนั้นถ้าอยากทำเมื่อไหร่ ก็แค่เดินไปบอกคุณพ่อเท่านั้นเอง และท่านก็จะให้เข้าไปเรียนรู้ ซึ่งท่านก็ไม่ได้กดดันอะไร แต่ยังไงบั้นปลายก็คงต้องไปช่วยตรงนั้น”

มองภาพตัวเองต่อจากนี้ยังไงบ้าง สำหรับงานในวงการบันเทิง?

“ไม่เคยมองเลยครับ อย่างที่บอกผมมองแค่งานที่ได้รับมา ถ้าละครปิดกล้องไปแล้ว ก็จะคิดว่างานต่อไปจะเล่นอะไรดี ตัดสินใจว่าจะเล่นเรื่องอะไร แล้วก็อยู่กับสิ่งนั้น เพราะว่าอย่างที่บอกคิดว่าสิ่งนั้นจะส่งเสริมให้อนาคตดีขึ้น โดยที่ไม่ได้ตั้งเป้าไว้ว่ามันจะเป็นยังไง ผมว่างานตรงนี้มันแล้วแต่โอกาสที่จะได้รับด้วยครับ เพราะฉะนั้นในเมื่อมันแล้วแต่โอกาสที่จะได้รับ การที่เราไปตั้งเป้า 5 ปีข้างหน้าเราจะอยู่จุดไหน บางทีโอกาสที่ได้รับมันไม่ได้เอื้อกับเป้าหมายของเรา ถามว่ากลัวตั้งเป้าหมายแล้วจะกลัวผิดหวังไหมถ้าไปไม่ถึง ก็กลัวครับ ส่วนหนึ่งก็เป็นตรงนั้น ก็เลยไม่พยายามตั้งเป้าไว้ว่าจะเป็นยังไงให้ได้ มองแค่ว่างานต่อไปจะทำอะไรและก็ทำให้ดีที่สุด

โจทย์การทำงานของผม การเลือกรับงานตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองอยู่วงการมาสักพักแล้ว รับมาหลายบทบาทแล้ว หลังจากนี้ก็น่าจะทำอะไรที่มันแตกต่าง ไม่อยากให้คนดูรู้สึกว่ามันซ้ำกับที่ผ่านมา มันจะต่อเราด้วยและต่อคนดูด้วยครับ (ยิ้ม) บางที่คนดูจะรู้สึกว่ารับแต่บทเดิมๆอีกแล้ว ผมก็ไม่อยากให้เขารู้สึกแบบนั้น และตัวผมเองก็อยากพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าเราก็ทำอย่างอื่นได้นะ ก็เลยต้องเลือกรับงานอะไรที่มันต่างออกไปหรือฉีกออกไปจากที่เคยทำ”

ช่วงนี้แฟนๆชมว่าเราหล่อมาก ดูเปลี่ยนลุค?

“มันเป็นการทำงานครับ (หัวเราะ) ผมก็ดูแลตัวเองมากขึ้น ส่วนเรื่องภาพลักษณ์ต่างๆผมก็พยายามแตกแขนงออกไปจากความเป็นเรา เพราะถ้าเป็นผมเองก็จะมีแต่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ (หัวเราะ) ก็ขอบคุณสำหรับฟีดแบคจากทุกคนครับ ดีใจครับ สิ่งที่เราทำมาก็คงถูกใจหลายๆคน ก็มีคนมาบอกบ้าง จริงๆในมุมการทำงานผมก็อาจจะปรับเปลี่ยนไปบ้าง แต่ในมุมส่วนตัวผมก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไร ถามว่ามีคนมาคอมเมนต์แซวในไอจีเขินไหมเหรอ ไม่นะๆ (หัวเราะ)”

คนบอกเราเป็นผู้ชายละมุน ถ้าให้คะแนนตัวเองเราละมุนแค่ไหน?

“ไม่นะ (หัวเราะ) ผมเป็นคนค่อนข้างจะลุยๆ ตรงๆ ความละมุน ความมุ้งมิ้งผมจะเป็นศูนย์เลยนะ (หัวเราะ) อันนี้ผมคิดเองนะ แต่ที่เห็นว่าผมทำอาหาร อันนั้นก็ทำจริงๆนะ แต่ผมก็ไมได้เป็นแนวน่ารักขนาดนั้น อย่าง “วิว” (วิว วรรณรท) ถ้าเขาอยากทานผมก็ทำให้ แต่ไม่ได้เป็นสายแบ๊ว อันนั้นไม่ได้จริงๆ”

ความรักกับ “วิว วรรณรท” 3 ปีแล้ว?

“คู่เราไม่ได้หวานแต่แรกอยู่แล้ว โปรฯของผมเป็นยังไงเหรอ ก็ไม่ได้มีโปรฯขนาดนั้นนะ (หัวเราะ) ก็อาจจะมีเวลาเจอกันเยอะกว่านี้ ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย แต่หลังๆก็อาจจะน้อยลง ผมว่ามันก็ไม่เชิงโปรฯนะ เพราะช่วงแรกๆเราก็มีส่วนที่ไม่เข้าใจกัน มันก็ไม่ได้ถึงขนาดเพอร์เฟ็กต์ ผมเลยไม่ได้รู้สึกว่ามันต่างกันขนาดนั้น ไม่มีโปรฯแรงตั้งแต่แรกแต่เป็นแพ็กเกจระยะยาว 3 ปีที่คบกันมาเราก็เข้าใจกันมากขึ้นในหลายๆอย่าง ปรับตัวเข้ากันมากขึ้นในหลายๆเรื่องที่อาจจะมีความคิดเห็นไม่เหมือนกันหรือไม่ตรงกัน ก็เลือกที่จะปรับมาเจอกันตรงกลาง หรือใครทำอะไรให้ได้มากกว่าก็ทำให้กัน

ถามว่าผมเป็นคนมุ้งมิ้งไหมเหรอ ไม่ครับ (หัวเราะ) แต่วิวจะมีความมุ้งมิ้งกว่ามาก อันนี้แหละเจอกันตรงกลางไม่ได้ (หัวเราะ) ต่างคนก็ต่างทำของตัวเองไป อย่างวันพิเศษก็มีความพิเศษแหละ แต่ก็คงไม่ได้เซอร์ไพรส์แบบใหญ่โตหรืออลังการอะไร วิวเขาจะเป็นคนให้ความสำคัญกับวันพิเศษต่างๆ อย่างวันครบรอบผมก็จำได้ว่าวันไหน แต่ก็จะบอกเขาว่าทุกเดือนคงไม่ไหว ก็บอกตรงๆ ไม่อยากให้คิดว่าไม่ใส่ใจ คือถ้าต้องมาทำให้กันทุกเดือนมันจะกลายเป็นความเคยชิน บางครั้งถ้าไม่ว่างหรืออะไร มันจะกลายเป็นความไม่เข้าใจกัน

ดราม่า “นายจ้าง” ไม่พอใจใส่นวมชกลูกน้อง

“วิว วรรณรท” อวดลุคเซ็กซี่ริมทะเล “เจษ” หวงมาก ถามหาปุ่มรีพอร์ตอย่างไว

การดูแลกันคู่เราจะเรียลๆเลย ผมอยากทำอาหารให้กันทานก็ทำจริงๆ หรือตอนผมผ่าเข่าเขาก็มากายภาพบำบัดเป็นเพื่อน มาดูแลที่บ้าน เขาก็ทำจริงๆ ทำด้วยความเต็มใจ เราก็ทำกันเป็นปกติ เลยไม่ได้รู้สึกว่ากดดันกับกระแสสังคมที่เขามองคู่เราว่าเป็นยังไง คู่เราเรียบง่ายด้วยซ้ำ ไม่ได้หวือหวาอะไร เราทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้ต้องการความหวือหวาในชีวิตหรือเซอร์ไพรส์ต่างๆอยู่แล้ว แต่ถ้าถามว่าใครหวานกว่ากัน ก็ต้องเขาเลย (ยิ้ม) ส่วนผมถ้าถามว่าหวานมุมไหนเหรอ ก็คงเป็นวันพิเศษที่เราให้ความสำคัญและไม่ค่อยข้ามวัน ถึงไม่ว่างยังไงก็ต้องมีเวลาเจอกันให้ได้

คู่เราก็เรื่อยๆครับ อยู่แบบสบายๆดีกว่า ไม่อย่างนั้นเราไม่รู้ว่าคนจะมองยังไง บางทีคนพร้อมจะไม่เข้าใจหรือมองไปอีกแบบนึง ถ้าเรามีความหวือหวามากๆหรือทำใหเห็นว่ารักกันมากๆ เราไม่มีกราฟสูงสุด อย่างรูปคู่คือไม่ค่อยได้ลงกันอยู่แล้ว แต่ก็เคยโดนทักนะว่าไม่ลงรูปคู่เลิกกันหรือเปล่า วิวก็จะมีมาบอกว่ามีคนทักนะ แต่ในความคิดผมรู้สึกว่าเราต้องลงรูปคู่เพื่อให้คนรู้ว่าเราไม่เลิกกันเหรอ คือคู่เราใช้ชีวิตกันปกติเลยไม่ได้มองว่าเป็นคู่รักดารา แค่มองว่าเป็นแฟน เป็นคู่รักคู่หนึ่ง”

วางอนาคตกันไว้ยังไงบ้าง?

“ชีวิตคู่ใช่ไหม คือเราไม่ได้วางไว้ว่าจะต้องเมื่อไหร่หรือยังไง แต่ว่าเราก็มีคุยๆกันบ้างในเรื่องเป้าหมายของแต่ละคน บางเรื่องที่ไม่ควรจะไปรู้ทีหลัง อย่างเช่นเรื่องเป้าหมายว่าอยากแต่งงานไหม อยากมีลูกไหม ถ้าแต่งงานจะอยู่บ้านหรืออยู่คอนโด มันเป็นเรื่องที่ควรจะรู้ในตอนนี้ ไม่ใช่ว่าคบๆกันไปแล้วไปรู้ทีหลัง แล้วความคิดไม่ตรงกันมันจะกลายเป็นปัญหา เราก็มีถามๆกันไว้แล้ว ก็ลงตัวครับ (ยิ้ม) แต่เรื่องว่าต้องเมื่อไหร่ยังไม่คุยขนาดนั้น ทุกวันนี้ก็แฮปปี้ดีครับ”

 

TOP ข่าวบันเทิง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ