“ต่อ ธนภพ” กับการเติบโตและเรียนรู้ บอกตัวเองเสมอว่ายัง “ไม่เก่ง” เลยต้องเต็มที่ทุกครั้ง


โดย PPTV Online

เผยแพร่




สัมภาษณ์พิเศษพระเอกสุดฮอต “ต่อ - ธนภพ ลีรัตนขจร” ถึงผลงานทางการแสดงที่ถูกยกเป็นหนึ่งพระเอกมากคุณภาพ พร้อมย้อนถึงช่วงเวลาที่เจอความเคว้งคว้างและอนาคตที่เขาวางแพลนไว้

“ต่อ ธนภพ” ทุ่มสุดตัวเพื่องานคุณภาพ

“ต่อ ธนภพ” เมินดราม่าตอบไม่ตรงคำถาม

ถูกยกให้เป็นพระเอกมากฝีมือคนหนึ่ง สำหรับ ต่อ - ธนภพ ลีรัตนขจร ที่แจ้งเกิดและมีผลงานสร้างชื่อเสียงหลายเรื่อง หลายปีที่โลดแล่นอยู่ในวงการ เจ้าตัวโชว์ศักยภาพทางการแสดงจนเข้าตาและถูกใจคนดูทั้งประเทศ

โดย พีพีทีวี นิวมีเดีย มีโอกาสได้พูดคุยถึงชีวิตการเป็นนักแสดงที่หลายคนอาจจะมองว่าเขาเป็นตัวท็อปคนนึง แต่กว่าจะเติบโตและก้าวมาเป็นพระเอกสุดฮอตอย่างทุกวันนี้ การเรียนรู้ในแต่ละสเต็ปและคำพูดที่บอกตัวเองว่าเสมอว่า “ยังไม่เก่ง” ทำให้เขาต้องตั้งใจกับทุกโอกาสที่ได้รับและทำให้ออกมาดีที่สุด  

ละครเรื่องล่าสุดเป็นผลงานมาสเตอร์พีชอีกชิ้นนึง?

“ผมอยากจะขอบคุณคนดูที่ชื่นชอบ ‘ใต้หล้า’ นะครับ (ยิ้ม) ทุกงานที่ทำก็พยายามทำให้มันมาสเตอร์พีช แต่ก็ยอมรับผมไม่ได้เก่งถึงขั้นเคลมได้ขนาดนั้น คือผมก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ให้ประสบการณ์แล้วก็บอกโลกความเป็นจริงว่าเรายังไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก คนที่เก่งเขาให้ความรู้เราได้ยังมีอีกเยอะเลยครับ อย่าง “อาตู่” (ตู่ นพพล) , “อาดาว”  (ดวงดาว จารุจินดา) , “พี่เผือก” (ดีเจเผือก) ผมรู้สึกว่าผมได้อะไรจากพวกเขาเยอะมากๆครับ”

นอกจากคนอื่นที่ให้อะไรกับเราแล้ว “ใต้หล้า” ให้อะไรกับ “ต่อ” บ้าง?

“ผมว่าผมโพซิทีฟขึ้นนะ (หัวเราะ) คือมันเหมือนกับว่าจริงๆใต้หล้าเหมือนตัวแทนของพวกเรานี่แหละ เหมือนเราอยู่ในโลกเนกาทีฟ ไม่รู้ว่ามันใช้คำขนาดนั้นได้ไหมนะ แต่ว่าพยายามพูดให้ชัดว่าเราอยู่ในโลกที่เนกาทีฟแต่เราพยายามที่จะโพซิทีฟ เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตมันหนัก อย่างผมเคยอ่านฟีดแบคทุกคนจะพูดว่า ใต้หล้ามันสู้ชีวิตมากแต่ชีวิตมันสู้กลับ ซึ่งเราเจออะไรแบบนี้ทุกวัน คือถ้าเราจะคิดว่ามันยากมันก็ยากนะ สุดท้ายแล้วทุกคนจะเห็นว่าเวลาใต้หล้ามันผ่านอะไรที่หนักมากๆจนมันไม่ไหว วิธีการแก้คนอาจจะคิดว่ามันคือการเดินไปคุย แต่สำหรับผมใต้หล้านอนนะ นอนแล้วปล่อยแล้วเริ่มต้นเอาใหม่ ซึ่งก็จะได้เห็นหลายตอนเวลาที่มันผ่านอะไรที่ฮาร์ดมากๆ สุดท้ายแล้วมันคือเรื่องของคำว่าปล่อยวาง คนเรามันต้องรู้จักวางบ้างแต่ไม่ใช่ทิ้งไปเลย เช่น คิดแล้วมันไม่ไหวจริงๆ เราต้องรู้ตัวเองเราไม่ใช่เครื่องจักรทำงานตลอดไม่ได้ ถึงจุดนึงก็ต้องเจอกันพรุ่งนี้ เดี๋ยวว่ากัน ใต้หล้าก็ทำให้ผมเติบโตครับ”

ขึ้นแท่นป๋าดันประกบนางเอกดาวรุ่งพากันเปรี้ยง?

“เก็บไว้แต่ป๋าละกันมันเท่ดี แต่ดันคงไม่ใช่ ดันตัวเองก่อนแล้วกันครับ (หัวเราะ) ผมไม่ได้รู้สึกขนาดนั้น แต่ผมเป็นคนที่ไม่ได้เลือกคนจากชื่อเสียง อันนี้จริงๆนะ ชื่อเสียงก็คือชื่อเสียง มันคนละเรื่องกับเวลาที่เราจะเลือกพาร์ทเนอร์ที่เราร่วมงาน คือชื่อเสียงก็ดีแต่สุดท้ายแล้วผมเรสเปคกับโปรเจ็กต์มากกว่า คือถ้าเราเจอคนที่เขาตรงกับบทมากกว่าเรารู้สึกว่าเขาคือคนที่ควรจะได้ มันก็เลยไม่ใช่เรื่องดัน แล้ว ทุกอย่างมันผ่านการแคสต์หมด หรือแม้แต่ตัวผมเองยังเข้าไปร่วมแคสต์ด้วยเลย เพราะว่าผมไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าอายเลยกับการที่ไม่ว่าเราจะมีชื่อเสียงหรือไม่มีชื่อเสียงแล้วเราต้องแคสต์ เพราะว่าเมืองนอกทุกคนเขาก็ต้องแคสต์ ชื่อเสียงมากกว่าเรายังต้องแคสต์เลย การแคสต์เลยไม่ใช่เรื่องที่ดูน่ากลัว มันคือเรื่องที่เป็นคำถามว่าไม่น่ากลัวแต่กล้าหรือเปล่าอะไรอย่างนี้”

การทำงานของ “ต่อ” เลือกจากอะไร?

“ผมเริ่มจากความรู้สึกตั้งต้นว่าตัวเองอยากทำอะไร มันคือคำว่า ‘รู้ตัวเอง’ ผมไม่ค่อยไปแบบแบลงก์ๆ ผมไม่อยากใช้คำว่าเราเลือกเพราะคนเลือกไม่ใช่เรา คนเลือกคือผู้ใหญ่ สุดท้ายแล้วต่อให้อยากเล่นบทแบบนี้มากกว่า เราจะได้เล่นมันอยู่ที่ว่าผู้ใหญ่เชื่อใจเราไหมว่าเราเล่นได้ ยิ่งถ้าบางทีอยากเล่นบทที่เขาไม่เคยเห็น ไม่ผิดเลยถ้าเขาจะไม่ให้เราเล่น เพราะเราเอาอะไรมารับประกันเขาว่าเราจะทำได้ เกิดเล่นแล้วไม่ได้หรืออย่างวันนี้ที่ผมบอกว่าผมอยากลองเล่นคอมเมดี้บ้าง ผมว่าหลายคนกลัวนะเพราะผมไม่เคยทำให้เห็น แต่ผมแค่เป็นลูกบ้าประจำตัวมากกว่าพอรับละครแล้วผมใส่สุดทุกครั้ง หรือต่อให้ระหว่างทางที่ชอบบ้างไม่ชอบบ้างแต่ผมไม่เคยรู้สึกว่าผมจะสู้น้อยลง ผมรู้สึกว่าต้องซัดให้ถึงเป้าหมาย

ผมเจอปัจจัยนี้ตั้งแต่เล่นฮอร์โมนฯเลย แต่ว่าสมัยนั้นเรายังไม่เคยเห็นคุณค่าขนาดนี้ ผมยังเด็กและไม่เคยมีประสบการณ์ แต่พอหลังฮอร์โมนฯประสบการณ์มากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างที่ลงไปทำแต่ละทีมันมีค่า มันไม่ใช่แค่กับตัวเรามันมีค่ากับแฟนคลับกับคนรอบๆข้าง ในสังคมที่เขาเสพงานนี้ มันจะเป็นพลังที่ผลักเราด้วย แล้วผมไม่ชอบให้คนดูเบื่อผมเลยเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ ต่อให้คนดูไม่เบื่อจุดนึงตัวเราเองก็ต้องเบื่อตัวเอง ถ้าเราอยู่นิ่งก็อาจจะเบื่อ

อย่างแนวคอมเมดี้มันเป็นสิ่งที่ผมรำพึงรำพันออกมา ถามว่าผมเป็นคนตลกไหม พี่เผือก (ดีเจผือก) บอกว่าผมเป็นคนตลกนะ แต่ผมคิดมาตั้งนานแล้ว ผมเหนื่อยนะผมเล่นร้องไห้ ชีวิตรันทดมาทุกรูปแบบเลย ผมก็อยากยิ้มบ้างมันก็เป็นความสุขเล็กๆแหละ แต่ถ้ามีโอกาสขึ้นมาผมว่าจะเป็นชาเลนจ์ที่ยากสุดเลยแหละ เพราะคอมเมดี้มันเบา ไม่ได้เป็นหมัดฮุกแบบดราม่า จะเป็นชาเลนจ์ใหม่ๆ แล้วจริงๆผมเคยสอบตกในคลาสแอ็คติ้งคอมเมดี้ด้วยนะ เป็นคนเดียวในคลาสที่สอบตก อายมากเลย (หัวเราะ)ครูพูดใส่หน้าว่าอย่าเล่นนะ ขอเลยจริงๆ ผมก็รู้ตัวเองนะตอนนั้นจังหวะมันผิดไปหมดเลย ผมเอาความซีเรียสไปใช้ในคอมเมดี้ไง (หัวเราะ) กับคอมเมดี้ผมว่าตอนนี้ผมได้นะ จริงๆผมไม่ได้เป็นคนเครียดขนาดนั้น ผมไม่รู้ว่าผมเป็นคนตลกไหม แต่ที่แน่ๆคนบอกว่าผมกวน ถ้ามีโอกาสก็อยากลองคอมเมดี้ครับ”

“ต่อ” เป็นคนชาเลนจ์ตัวเองอยู่ตลอด?

“ใช่ครับ เริ่มมาจากกลัวเบื่อนี่แหละ แต่จริงๆผมเป็นคนรูทีนนะ หมายถึงว่าผมแค่กลัวเบื่อในบางเรื่อง แต่จริงๆเป็นคนใช้ชีวิตเดิมๆไม่ได้ใช้ชีวิตอะไรใหม่ขนาดนั้น แล้วก็รู้สึกว่าเป็นคนหาความสุขจากอะไรเล็กๆ ไม่ได้หาจากอะไรใหญ่ๆ เช่น ผมอาจจะแฮปปี้กับการนอนอยู่ที่บ้านในห้องตัวเองมากกว่าการออกไปเที่ยวต่างประเทศ มันเป็นอะไรเล็กๆที่โอเคแล้ว หรือก่อนออกไปทำงานอยากจะนั่งยองๆให้หลานมาหอมแก้มอะไรแบบนี้ (ยิ้ม)”

เคยมีช่วงที่รู้สึกว่ามันยากจังไหม?

“มีครับ ตอนช่วงประมาณก่อนช่วงอายุ 25 ปี มันคือก่อนที่ผมจะมาเล่น “หัวใจศิลา” เป็นช่วงที่ผมไม่สามารถขึ้นมาเล่นบทโตได้ ไม่มีใครเชื่อผมเลย แล้วก็ไม่มีใครเชื่อให้เล่นเด็กอีก ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เคว้งสุดแล้วดูไปทางไหนก็ไม่ได้ เช่น กลับไปชุดนักเรียนก็ไม่ได้ ขึ้นไปโตเลยก็ไม่รอด รอบตัวผมบอกว่าผมไม่น่าจะได้รับความเชื่อแน่ๆ ด้วยหน้าเราที่ไม่ยอมโตด้วยในตอนนั้น แต่หลังจากเล่นหัวใจศิลาแล้วก็ปลอดล็อกว่า “ผมโตแล้ว”

ซึ่งช่วงที่เคว้งผมไม่ได้รับงานปีนึง หลายคนอาจจะไม่รู้ ผมหายไปเลย หายไปแบบงงๆ ไม่มีงานแสดงเลย ไม่ใช่ว่าไม่รับนะ แต่เขาไม่รู้ว่าจะเอาผมไปทำอะไร ผมก็คิดว่าแล้วตัวเองจะทำอะไร มันเป็นช่วงวัยที่มันจะขยับจะเป็นช่วงนิดนึงไม่เกิน 2 ปีที่ต้องทน แล้วตอนนั้นก็ทน แต่ก็ไม่ถึงขั้นว่าไม่มีงานนะครับ มันก็จะมีงานที่รับไว้เพราะปกติผมรับงานข้ามปี แล้วก็มีงานนอกเข้ามา แค่เรื่องแสดงไม่รู้ว่าจะทำอะไร ตอนนั้นผมกลัวตกงาน เพิ่งเข้าใจว่าคนตกงานรู้สึกแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ จะไปยังไง จากที่เคยเห็นภาพมาทุกวันอยู่ๆไม่เห็นก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน หรือคนที่เคยต้องตื่นเช้ามืดออกจากบ้านไปกองทุกวัน อยู่ๆมันไม่ต้องไปมานานมาก ก็จะเคว้งๆ

ผมหาคำตอบด้วยการถามทางค่ายว่าเกิดอะไร บางครั้งผมก็รู้ว่าถามคำถามเดิมๆเขาก็ตอบเดิมๆ หมายถึงว่าบางครั้งก็เหมือนตอกย้ำตัวเอง แต่มันก็ได้ปล่อยบ้างถึงแม้มันจะเป็นการถามแบบเดิมแต่มันก็ดีกว่าเราเก็บไว้ ถ้าให้พูดตรงๆตอนนั้นคือรู้สึกว่าตัวเองจะไม่ไปต่อแล้ว ผมว่ายุคนี้ไม่เหมือนยุครุ่นพี่ที่จะมีคำว่า “ติดลมบน” ยุคนี้ผมว่ามันไม่มีแล้ว ทุกอย่างมันเร็วแล้ว มีเรื่องของโชคเข้ามาเกี่ยว ผมไม่ได้พูดว่าดวงนะ โปรเจ็กต์ที่เราประสบความสำเร็จได้คือเราโชคดี เราไม่มีทางเก่งที่สุด ผมทำงานจนถึงจุดนี้ไม่มีทาง อย่าเรียกว่าตัวเองเก่ง เพราะถ้าตัวเองยังเก่งขึ้นได้ แล้วทำไมยังเรียกตัวเองเก่งอยู่เลย เป็นไปได้ยังไง มันไม่จริง”

ณ วันนั้น “ต่อ” กลับมายังไงในวันที่คิดว่าตัวเองอาจจะไม่ได้ไปต่อ?

“กับบทบาท “พี่ยิม” (ซีรีส์ Side by Side พี่น้องลูกขนไก่) เป็นการปลดล็อกรอบครั้งสำคัญเพราะว่าเป็นโปรเจ็กต์สุดท้ายที่ผมยังเล่นในช่วงตัวละครวัยรุ่น แล้วก็เป็นโปรเจ็กต์ที่ถามตัวเองครั้งสุดท้ายว่านี่ “นี่ยังเป็นที่ของเราอยู่ไหม” ช่วงปีที่ผมนอยด์ผมไปไล่ดู ผมไม่ค่อยเห็นคนที่เริ่มจากวัยรุ่นแล้วไปถึงนักแสดงโตเลย แล้วก็เริ่มรู้สึกคิดตามแล้วว่า อ๋อ! ถึงเวลาแล้ว เข้าใจที่พี่ๆเข้าพูดแล้ว แต่มันก็ยังมีความคิดเล็กๆว่าตัวเองดื้อขึ้นมาว่าในเมื่อไม่ค่อยมี แล้วทำไมเราไม่เป็นหนึ่งในคนที่ไม่ค่อยมีไม่ได้ แล้วก็ลองสู้อีกสักตั้ง ตอนนั้นก็คิดวนๆแต่ยังไม่แพลนอื่นขนาดนั้น ผมว่ามันชัดสุดที่เป็นคำตอบนะ ไม่ใช่ตอนที่ออนแอร์ด้วย มันชัดสุดตอนที่ผมรับ “รางวัลนาฏราช” ตัวแรกจากบท “พี่ยิม” แล้วเป็นไม่กี่เรื่องที่ไม่ได้มาจากช่องเป็น OTT แล้วมันก็บอกอะไรหลายๆอย่างว่าถ้าลองกล้าที่จะไปเจออะไรที่มากกว่าเดิมมากขึ้น

แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมลองเล่นหัวใจศิลา ตอนนั้นยอมรับว่าผมกังวลมาก เป็นเรื่องแรกที่ผมจะสลัดชุดนักเรียนและเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเจอ แล้วก็เล่นไม่เป็น ไม่เคยผ่านมา ไม่รู้ว่าจะเข้าได้ไหม ผมไม่เคยชัวร์กับอะไรเลย สิ่งที่ชัวร์คือเราจะเต็มที่ แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าวันข้างหน้าเราจะเป็นยังไง แม้กระทั่งทำ “ใต้หล้า” เหมือนกัน ไม่มีใครบอกได้ เพราะสุดท้ายคนที่ตัดสินไม่ใช่เรา อย่างละครหัวใจศิลาก็ทำให้ผมปลดล็อกจากการใส่ชุดนักเรียนมาใส่สูท กระแสตอบรับทำให้ผมโล่งขึ้น ทำให้ผมรู้สึกว่าเรนจ์เรามันกว้างขึ้น มันอยู่ในจุดที่ว่าฟีดแบคคือเขาก็ไม่แน่ใจว่าหน้าผมมันโตพอไหม แต่นั่นเท่ากับบวกกับผมนะว่าอย่างนั้นผมกลับไปชุดนักเรียนได้นะ แล้วทุกวันนี้มันก็เป็นแบบนั้น เพราะละครใต้หล้าก็ใช้วิธีนั้นเป็นนักเรียนแล้วกลับขึ้นมาโต ผมก็พยายามใช้สิ่งนี้ให้มันคุ้มก่อนในช่วงที่มันยังได้อยู่ (หัวเราะ)”

จะพูดกับตัวเองเสมอว่าไม่เก่ง?

“ครับ เพราะจริงๆผมเป็นคนที่พลาดเยอะมาก พลาด ผิด มั่วไปหมด ผมแค่เป็นคนที่เวิร์คชอปหนักมากๆและผมแค่อยากพลาดให้เยอะมากพอที่จะไม่พลาดอีกแล้ว  แล้วผมก็รู้สึกว่าอยากให้เกียรติคนที่ติดตามเรา ผมอยากให้คนที่ตามผมภูมิใจในตัวผมและภูมิใจกับสิ่งที่ผมทำ เลยทำให้ผมไม่อยากห่วย แต่คือไม่อยากห่วยทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้เก่ง ก็ต้องทำเยอะ ทางออกมีแค่นี้ มันเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมเชื่อว่าแฟนๆหรือคนนอกเขาไม่เคยรู้หรอก เมื่อก่อนผมก็ไม่เคยคิดที่จะพูดด้วย เพราะผมรู้สึกว่าพูดไปไม่ได้อะไร เขาไม่ได้มาอยู่ตรงนั้นกับเรา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ และต่อให้เขารู้เราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะรู้สึกอะไร ผมก็เลยย่อให้เหลือแค่ว่าผมเต็มที่ แต่ความเต็มที่มันไม่ได้ถูกแงะออกมาด้วยซ้ำว่ามันคืออะไรบ้าง ผมจริงจังกับงานเพราะนี่เป็นอาชีพ ไม่ใช่สิ่งที่ผมทำเล่นๆ นักแสดงเป็นอาชีพได้”

ไม่ได้ตั้งใจเป็นนักแสดงแต่แรก?

“ตอนเด็กๆผมชอบศิลปะ อยากเป็นสถาปนิกมาก่อน แล้วเคยฝันไว้ว่าถ้าสถาปนิกไม่ได้ก็อยากเป็นครีเอทีฟโฆษณา เพราะว่าเคยไปติวด้านนี้แต่ใช้ชีวิตคุ้มไปหน่อยก็เลยไม่ถึงฝั่งฝัน พูดตรงๆก็คือผมเอ็นฯในคณะที่ผมอยากเข้าไม่ได้ แล้วผมก็พัง ฝันมันพังแล้วจะยังไงต่อ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้คิดได้เหมือนตอนนี้ ก็ใช้วิธีสู้ต่อไปเรื่อยๆ นิสัยผมคือไม่ชอบเริ่มใหม่ คนชอบถามผมว่าทำไมไม่ซิ่วล่ะ มันคือทางเลือกคนอื่นแต่ไม่ใช่กับผม คือผมไม่ได้เป็นคนที่จะยอมเสียเวลา ผมรู้สึกว่าทำเต็มที่แล้วแต่ทำไม่ได้ ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น จนมีโอกาสเข้ามาคืออาชีพนี้ จริงๆมีความก้ำกึ่งความไม่กล้าอยู่ จนโดนทางนาดาวส่งเรียนการแสดง ผมเข้ามาตอนผมไม่มีฝันแล้ว เพราะฝันผมมันไปแล้ว เหมือนเริ่มใหม่ๆ อยู่ๆเขาส่งผมไปเรียนการแสดง เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้จักมากก่อนเลย แต่พอโตขึ้นก็คิดว่าหรือนี่จะคือโอกาสที่เราจะเซ็ทซีโร่ เพราะตอนฮอร์โมนฯทุกคนใหม่หมด ก็เลยลองสักตั้งจากเด็กหลังห้องขอเป็นเด็กหน้าห้องสักรอบ ก็เลยตั้งใจและจริงจังกับการแสดง ตอนเรียนแอ็คติ้งเขาเลิกกัน 3 ทุ่ม ผมกลับเที่ยงคืนตลอดเลย เก็บทุกอย่างที่ครูสอน ใช้ทุกอย่างจนรู้สึกว่าเราน่าจะใช้ได้จริงๆ แบบฝึกหัดที่เราเรียนกับใช้จริงมันไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ฝึกจนถึงจุดนึง จะเอามาใช้สถานการณ์จริงไม่รอด ก็ฝึกและมีอะไรให้เรียนก็เรียน”

คิดไหมว่าจะมาไกลขนาดนี้?

“ไม่ครับ ก็ได้คำพูดพี่ย้ง (ย้ง ทรงยศ) ตอนนั้นเล่นฮอร์โมนฯ เขาก็เคยพูดกับผมว่าเชื่อใจเขาไหม ถ้าเชื่อใจก็ไปพร้อมเขา แล้ววันที่ผลมันมันออกแล้วประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นผมไม่มีคำถามเวลาแสดงเลย ถ้าผมตัดสินใจเมื่อไหร่ผมพุ่งอย่างเดียวเลย เพราะผมถือว่าผมเชื่อใจคนที่อยู่รอบผม และก็อยากให้เขาสัมผัสได้และเชื่อใจผมเหมือนกัน”

ตอนนี้มีความฝันอะไรไหม?

“ก็เริ่มคิดถึงอนาคตตัวเอง เพราะถึงจุดนึงมันคงต้องมีการแลนด์ดิ้งของตัวเองแบบจริงจัง ไม่มีใครอยากเหนื่อยไปตลอดชีวิต วันนี้พยายามทำสิ่งที่ผมรัก สิ่งที่ผมชอบให้มันมากพอ พยายามพัฒนาตัวเองไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ฝีมือ ฐานะ คือรู้สึกว่าถ้าจะแลนด์ดิ้งก็ต้องพร้อมนะ ไม่ใช่การพูดสุ่มสี่สุ่มห้าว่าจะเกษียณ มันไม่ได้นะแบบนั้น ทุกวันนี้ผมเรียนรู้ขึ้นเยอะมากที่ไม่เกี่ยวกับอาชีพตัวเอง ค่อยๆวางรากฐานของตัวเองน่าจะเข้าปีที่ 3 แล้ว ผมค่อยๆวางไปเรื่อยๆ อย่างตอนนี้นาดาวก็ไม่มีการบริหารศิลปินแล้ว ผมก็ต้องขึ้นตรงกับบริษัทของตัวเอง ผมก็คงไม่ทำแค่เป็นบริษัทที่ดูแลตัวเอง คือถึงจุดนึงผมว่ามันต้องไปต่อ อนาคตอาจจะอยากดูแลใครสักคนที่เห็นแล้วถูกชะตาหรือบริษัทนี้อาจจะแตกไลน์ไปสู่อย่างอื่น เช่น ผมชอบเสื้อก็อาจจะเริ่มอะไรขึ้นมาก็ได้ ก็คิดตลอด”

ในวันนึงเคยมีคนดูแลวันนี้ต้องดูแลตัวเองแล้ว เตรียมตัวหรือวางตัวเองไว้ยังไง?

“ทุกวันนี้ยังเตรียมตัวไม่เสร็จเลยครับ (หัวเราะ) ผมไม่ได้เก่งเรื่องเมเนจเมนต์ ผมเป็นที่ทำๆมาตลอด นาดาวเป็นแบ็คผมเลยพุ่งได้โดยไม่ต้องพะวง แต่ตอนนี้เหมือนผมต้องเรียนรู้ข้างหลังให้แน่น ให้ได้เท่านั้นก่อน ผมถึงจะปล่อยและทำทุกอย่างเหมือนเดิมได้ ก็ยากครับ เพิ่งเรียนรู้ว่ามันไม่ง่าย ก็เสียเวลาเยอะครับ แต่ผมเชื่อนะว่าผมไม่ต้องรีบ ผมรู้สึกว่าถ้ารีบแล้วมันไม่ดี งั้นอย่ารีบเลย รีบไปก็เท่านั้น ในวันที่รู้ว่าต้องดูแลตัวเองผมปกติมาก เพราะสุดท้ายก็เหมือนอย่างพี่ย้งกับพี่จิน่า (จิน่า โอสถศิลป์) บอก มันไม่ได้เป็นการอยู่ๆเรียกพวกผมไปแล้วก็พูด เราคุยกันมาแล้ว เราผ่านจุดที่เสียใจไปแล้ว สุดท้ายพูดไม่ได้หรอกว่าไม่เสียใจ ที่นี่คือบ้านก็ต้องเสียใจแค่ผ่านจุดนั้นไปแล้ว แต่ก็โชคดีที่พอผ่านไปได้แล้วคิดได้ว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ และในเมื่อเลือกว่าไปต่อยังไงก็ต้องไป ก็เป็นอีกจุดเปลี่ยนนึง เป็นเวลาที่เราจะได้โฟกัสตัวเองจริงๆ”

โตขึ้นยังไงบ้าง ต้องมาดูแลตัวเองแล้ว?

“ผมดูแค่ข้างหน้าไม่ได้แล้ว เมื่อก่อนผมจะเป็นคนที่ทำงานวันต่อวัน คิวต่อคิว ตอนนี้คือโนแพลนไม่ได้ จะมารู้คิวแค่พรุ่งนี้ไม่ได้แล้ว เจอหน้ากับผู้ใหญ่ไม่ว่างก็ต้องไป เพราะไม่มีใครไปแทนเราแล้ว แต่ข้อดีมันก็มี คือผมได้เจอคนที่ผมรักด้วยตัวเองเสียที คือเมื่อก่อนเรารู้ว่ามีคนไปแทนเรา มันก็จะติดนิสัยทำก่อนค่อยว่ากัน ตอนนี้คือได้เจอเรื่อยๆเลยครับ ผมสนุกขึ้น ถามว่ามันเหนื่อยขึ้นไหม มันก็เหนื่อยขึ้นมหาศาลเลย ไม่ใช่แค่เหนื่อยแรงนะ สมองเราต้องคิดอยู่ตลอดเวลาเลย”

เคยแบกอะไรไว้หนักๆ แต่ตอนนี้ได้ปล่อยวางเพราะตัวละเรา เราไปเจอเหตุการณ์นี้เมื่อไหร่?

“เหตุการณ์นี้มีที่มาที่มันได้เอามาใส่ในใต้หล้า มันมากหนัง ‘on for the road’ สังเกตดีๆทุกโปรเจ็กต์ใหม่เวลาที่ผมเล่นจะเกิดขึ้นได้จากเชื้อโปรเจ็กต์เก่าหมด เช่น ข้อผิดพลาดจากโปรเจ็กต์เก่า สิ่งที่ผมได้มาจากโปรเจ็กต์เก่าหรืออะไรก็ตามที่ผมเห็นแล้วไม่ได้ทำในโปรเจ็กต์เก่า มันจะถูกทำทันทีในโปรเจ็กต์ใหม่ ผมใช้วิธีต่อยอดไปเรื่อยๆ ในเรื่องของการปล่อยวาง ที่ผ่านมาหลายคนจะรู้สึกว่าผมเป็นคนที่ไม่ปล่อยวางเลย แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว จุดที่ทำให้ปล่อยครั้งแรกคือด้วยความที่ผมไม่ปล่อยวางนี่แหละ แล้วผมไม่รู้ตัวด้วยว่าผมเป็นคนไม่ปล่อยวาง ใครพูดใส่หน้าผมว่าผมเป็นคนเครียด ผมจะ หึ! ไม่ได้เครียด ไม่จริง แล้ววันนึงก็ได้ไปรับความกดดัน จากกองในเรื่อง on for the road ที่นิวยอร์กมา มันเป็นความกดดันครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมรับไม่ไหว มันเยอะมาก ทั้งต่างที่ การทำงานกับทีมงานต่างประเทศ เวลาต่างๆค่าใช้จ่ายที่มันเกิดขึ้นทุกนาทีที่กำลังไหลอยู่ มันไม่ได้เลย ผมเล่นแล้วมันติดๆขัดๆไปหมด ผมเองก็ไม่รู้ทำไม มันเกิดอะไรขึ้นกับผมในตอนนั้น แล้วผมก็ระเบิดออกมา แต่อยู่ข้างในนะ แล้วผมก็เพิ่งเจอคำว่าช่างมัน!

คือคนที่ไม่รู้ตัว จะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเครียดอยู่ แต่พอถึงจุดนึงที่มันเดือดขึ้นมาจนมันไม่ไหว มันเริ่มออกมาข้างนอก แต่เป็นการเกิดขึ้นในห้องนอนกับผมแค่คนเดียว ไม่ได้เกิดขึ้นในกอง เป็นคำที่ผมไม่ได้คิดแต่ว่าช่างมัน! ไม่เอาแล้ว! มันก็ออกมาแล้วผมก็นอนเลย ผมรู้สึกไม่ไหวแล้ว แต่พอตื่นเช้ามาผมกลับรู้สึกว่ามันเบา เป็นการปล่อยครั้งแรกที่เราค้นพบโดยบังเอิญ แล้วก็เริ่มคิดว่าหรือจริงๆที่ทุกคนพูดกันจะเป็นเรื่องจริงว่าเราไม่ปล่อยจนเราชิน จนไม่รู้ตัวว่านี่เราไม่ปล่อยอยู่ ปากบอกว่าปล่อยแต่จริงๆแล้วไม่ปล่อยเลย ก็เริ่มรู้สึกว่าสิ่งนี้ดีจัง แล้วก็เริ่มทำให้มันเป็นนิสัย ก็ค่อยๆแก้ ปรากฎว่ามันส่งผลดีกับรอบตัวเรา รู้สึกว่าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขขึ้น เริ่มรู้จักลำดับความสำคัญก็จัดการตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ”

เป็นการเติบโตระหว่างทางโดยที่เราไม่คิดว่าเราจะเจอมัน?

“ใช่ครับ ตอนนี้มีความสุขมาก เพราะมันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ทุกวันนี้ก็บาลานซ์ตัวเองได้มากขึ้น”

“ต่อ” จะพูดตลอดว่าตัวเองไม่เก่ง แล้วรู้ไหมว่ามีอะไรบ้างที่เราเก่ง?

“ผมไม่ใช่คนเก่ง แต่ผมเป็นคนที่ชมตัวเองบ่อยอยู่เหมือนกัน ผมไม่ได้เป็นคนที่เอาแต่ด่าตัวเอง ผมชมตัวเองเพื่อให้ตัวเองมีกำลังใจ แต่ว่าผมก็รู้ตัวเอง อย่างที่ผมบอกว่าผมไม่เก่ง มันต้องแยก หลายคนชอบคิดว่าที่พูดแบบนี้คือถ่อมตัวเหรอ คือถ้าเก่งจริงๆมันต้องไม่มีคนที่เก่งกว่าเรา มันไม่ใช่อย่างนั้น สมมติว่าเรื่องนี้มันค่อยๆใกล้เป้าที่เราตั้งไว้ ทุกๆครั้งที่เราพยายามทำก็จะบอกกับตัวเองว่ามันมาแล้วนะต่อ อีกหน่อยเดียวจะถึงแล้ว หรือบางครั้งซีนที่ผมแอบดอกจันท์ไว้ต่างๆของตัวเองมันถึง หรือรีแอ็คผู้กำกับเขาชอบ เราก็จะยิ้มกับตัวเอง ไม่มีคำพูดอะไรแบบนั้น ผมไม่ได้ถูกเลี้ยงมาด้วยคำชม จริงๆแล้วตัวผมเป็นคนอยากได้คำชม เป็นคนที่อยากได้กำลังใจ เพราะไม่ได้โดนเลี้ยงมากับคำพวกนี้ เลยไม่ค่อยมีตรงนั้นเท่าไหร่ เลยจะไม่ค่อยชอบชมตัวเอง แต่จะชอบให้คนอื่นชม พออ่านหรือฟังก็จะยิ้ม”

แล้วถ้าเราเจอคำพูดในทางลบ?

“ก็เสียใจ เราทำงานกับความรู้สึกที่พูดกันว่าไม่ต้องไปอ่าน หรืออ่านแล้วก็ไม่ต้องไปรู้สึก แต่เราคือมนุษย์มันไม่สามารถที่จะทิ้งไปได้หรอก แต่ก็ใช้วิจารณญาณ ถ้ามันดูไม่ใช่แก่นสารเลยก็ต้องแยกให้ออกว่าอันไหนอารมณ์ อันไหนเหตุผล ถ้าติเพื่อก่อผมก็พร้อมรับ มีนะเวลาที่ผมแสดง ผมหาเจอคำติตลอด ผมมองว่าบางครั้งก็ดีนะ มันอาจจะแปลว่าเขาเห็นว่าเราอาจจะเก่งขึ้นได้อีก”

เคยเครียดเคยนอยด์กับอะไรพวกนี้ไหม?

“เคยครับ แต่บางครั้งมันก็ผ่านไปแล้วผมก็ไม่อยากจะรื้อมันขึ้นมาเรื่อยๆ มันไม่ใช่ความทรงจำที่ดี ผมเจอเรื่อยๆอยู่แล้ว และมันไม่ใช่แค่เราที่เจอ ทุกคนก็เป็น ทุกคนจะมีแผลในใจของตัวเองกันอยู่แล้ว ผมว่ามันเตือนสตินะ กับสิ่งที่เจอมันเป็นสิ่งที่เตือนสติผมที่สุดในการใช้ชีวิตตอนนี้ ในการที่เราคิดแบบนึงแต่พอพูดออกไปมันเป็นอีกแบบนึงทันที ฉะนั้นเราต้องคิดให้ดี ไม่ใช่การระวังว่าเราจะไม่พูดนะ สุดท้ายผมก็ยังจะพูดเหมือนเดิม เพราะผมเป็นคนแบบนี้ แต่ผมแค่ต้องคิดให้ดีว่าสิ่งที่ผมคิด กับสิ่งที่ผมพูดมันเหมือนกันอยู่หรือเปล่า ผมอาจจะไม่เก่งภาษาก็ได้ มันพูดยาก เพราะมันมีหลายคนที่เก็ตกับสิ่งที่เราพูดว่ามันหมายความอย่างนี้ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดจากอะไร เราไม่ได้อยากโทษใคร แล้วเราก็เสียใจที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดี ผมก็เก็บเอามาคิดนะ ผมไม่ใช่คนที่ปล่อยไป แต่ผมรู้สึกว่ายิ่งแอ็คชั่นอะไรไปมันไม่ได้ช่วย”

ถามถึงอนาคตบ้าง ส่วนตัวแล้วอยากมีครอบครัวแต่งงานอยู่ไหม?

“โลกตอนนี้ทำให้ความคิดผมเปลี่ยนไปในทุกๆปีเลยครับ จากสิ่งที่ผมเห็น จากสิ่งที่ผมเจอ ไม่ว่าจะเป็นข่าว คนรอบตัว แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่แน่ใจ เมื่อก่อนในอดีตผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าผมอยากแต่งงาน อยากมีครอบครัว อยากเป็นพ่อที่เท่ๆ แต่พอเราเห็นมาเรื่อยๆ มันมีความไม่แน่ใจเกิดขึ้น จริงๆนะ ผมไม่ได้เชื่อในเรื่องนี้น้อยลงนะ ผมยังเชื่อในความรักเหมือนเดิมว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนควรมีให้กัน แต่ไม่แน่ใจว่ามันคือไฟนอลไหม เมื่อก่อนสำหรับผมการแต่งงานเท่ากับจบ โอเค ฟินิช ลงหลัก แต่เดี๋ยวนี้มันดูเป็นอีกโจทย์นึง อย่างผมเพิ่งมีหลาน ผมกำลังเห่อหลาน เลยเห็นมาตลอดว่าการมีเขาเข้ามาคนนึงมันต้องรับผิดชอบอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง อย่างน้อยที่สุดนะถ้ามีลูกเราก็ทำให้ดี อยากจะให้เขาใช้ชีวิตที่ดีกว่าที่เราโตขึ้นมา ก็เลยแค่ไม่แน่ใจว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการไหม

ความคิดนี้มันเริ่มกลั่นออกมาจากด้วยวัยที่เริ่มแล้วก็ได้ และผมก็มีความคิดจริงๆว่าถ้าแต่งงานเราจะไม่ทำงานหนักแบบนี้แล้ว ฉะนั้นตอนนี้ก็ต้องทำตัวให้พร้อมในทุกๆด้าน ก็ไม่รู้ว่าอนาคตโจทย์อาจจะเปลี่ยนไปอีกหรือเปล่า พอได้เห็นหลาน ผมรู้สึกว่าคำว่าพร้อมของผมมันได้เพิ่มขึ้นอีกแล้ว (ยิ้ม)”

 

“วี วิโอเลต” มาเอง! อวดภาพหวาน “เก้า จิรายุ” สยบข่าวลือถูกโยงคู่รักเลิกเงียบ

ตรวจหวย - ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ลอตเตอรี่ 1/7/65

PR - ตารางคะแนน-2_B PR - ตารางคะแนน-2_B
TOP ข่าวบันเทิง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ