CNN เผยแพร่เอกสารรั่วไหลจากจีน ปิดบังข้อมูลโควิด-19


โดย PPTV Online

เผยแพร่




วันที่ 1 ธันวาคม เป็นวันครบรอบ 1 ปี ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกในเมืองอู่ฮั่นของประเทศจีนแม้จนถึงตอนนี้จะยังไม่มีการยืนยันว่า แท้จริงแล้ว ไวรัสโควิด-19 อุบัติขึ้นที่ไหนและอย่างไร แต่ข้อมูลผู้ติดเชื้อรายแรกเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม นับเป็นข้อมูลที่ทั่วโลกปักหมุดไว้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการระบาด เท่าที่ทุกคนรู้ในตอนนี้

จีนเผยเชื้อ โควิด-19 ในปักกิ่งรอบใหม่ ไม่เหมือนที่ระบาดรอบแรก

เจ้าหน้าที่อู่ฮั่นแก้ไขยอดผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นเกือบ 50%

วันนี้ 1 ธ.ค. สำนักข่าว CNN ของสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยเอกสารลับของทางการจีน 117 หน้า ที่รั่วไหลมาจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของจีน เอกสารเหล่านี้เต็มไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการกับโรคระบาดของจีนในช่วงแรกๆ จนถึงยอดผู้ติดเชื้อและยอดผู้เสียชีวิตที่ไม่ตรงกับข้อมูลที่จีนรายงานต่อสาธารณะ ประเด็นสำคัญๆ ของเอกสารชุดนี้มีดังนี้

ประเด็นแรกคือ ก่อนการระบาดของโควิด 19 ได้เกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่อย่างรุนแรงในมณฑลหูเป่ย (เมืองเอกของมณฑลนี้คืออู่ฮั่น)

เอกสารจำนวน 117 หน้าฉบับนี้ที่รั่วไหลมายังสำนักข่าว CNN ชี้ให้เห็นว่า มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมปี 2019

เมืองแรกที่พบการระบาดมากที่สุดคือ Yichang (อี้ชาง) ถัดมาคือ Xianning  (เซียนหนิง) และถึงค่อยมายังเมืองอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ย

ในสัปดาห์เดียวของต้นเดือนธันวาคม ยอดผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ในมณฑลหูเป่ยเพิ่มขึ้นกว่าปี 2018 ถึง 20 เท่า

อย่างไรก็ตามไม่มีการยืนยันว่า การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในเมืองเหล่านี้ของมณฑลหูเป่ยเกิดจากหรือเกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่หรือไม่ แต่ข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของไข้หวัดเป็นวงกว้างนี้ย่อมมีประโยชน์ต่อการตรวจสอบหาต้นตอของการระบาดของโควิด-19 และที่สำคัญเป็นข้อมูลที่จีนไม่ได้เผยแพร่ต่อสาธารณชน

ซึ่งถ้ามีความเกี่ยวข้องกัน อู่ฮั่นจะไม่ใช่เมืองแรกที่พบการอุบัติของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ แต่เป็นเมืองที่ 3 แล้วที่พบการระบาดของไข้หวัดไม่ระบุสายพันธุ์ในตอนนั้น

สอดคล้องกับเอกสารวิชาการทางการแพทย์ของ Lancet ที่ระบุว่า พบอาการของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ปี 2019 แต่เชื่อว่าจริงๆ แล้ว มีการระบาดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน

ซึ่งในตอนนั้น ทางการจีนระบุว่า เริ่มได้รับรายงานจากโรงพยาบาลในมณฑลหูเป่ยเกี่ยวกับการระบาดของไข้หวัด ที่มีอาการคล้ายกับโรคซาร์สเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม

ก่อนที่จะมีการออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการระบาดอย่างเป็นทางการใน 3 วันต่อมา คือวันที่ 30 ธันวาคม 2019 ซึ่งในตอนนั้นจีนเปิดเผยว่า มีผู้ติดเชื้อ 27 ราย

จากนั้นอีกนานหลายสัปดาห์วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2020 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จึงปรากฏตัวต่อเจ้าหน้าที่การแพทย์ในเมืองอู่ฮั่นผ่านวีดีโอคอลจากกรุงปักกิ่ง เพื่อแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของประชาชน และเตือนให้เจ้าหน้าที่สื่อสารกับสาธารณชนอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เนื่องจากทั้งโลกจับตาดูอยู่

การปรากฎตัวของสี จิ้น ผิง ผู้นำจีนเกิดขึ้นหลังจากเขาพูดคุยทางโทรศัพท์กับผู้นำสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์เกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้

ประเด็นที่สองที่อยู่ในเอกสารที่ CNN อ้างว่า รั่วมากจากทางการจีนคือ การรายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไม่ตรงกับความจริง

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ วันที่สี จิ้นผิงออกมาพูดกับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ เป็นวันที่เอกสารลับ 117 หน้าฉบับนี้มีรายงานเกี่ยวกับยอดผู้ติดเชื้ออยู่ด้วย ปัญหาก็คือ ตัวเลขที่ทางการแถลงไม่ตรงกับตัวเลขในเอกสารลับ

ในวันนั้นทางการจีนแถลงยอดผู้ติดเชื้อทั่วประเทศว่ามี 2,478 ราย ในจำนวนนี้ 2,097 รายอยู่ในมณฑลหูเป่ย แต่เอกสารลับชุดนี้ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อเฉพาะในมณฑลหูเป่ยอยู่ที่ 2,345 ราย หากเอกสารนี้เป็นจริง หมายความว่า จีนรายงานจำนวนยอดผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันเพียง 2 ใน 3 จากตัวเลขจริง

เอกสารชิ้นนี้ยังอ้างด้วยว่า การรวบรวมตัวเลขผู้ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อ หรือผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์ยังเป็นไปอย่างสับสน และยังไม่มีการจำแนกระดับความรุนแรงของอาการป่วยอย่างชัดเจน ซึ่งถือว่าไม่เหมือนระบบการเก็บข้อมูลของสหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศ

ประเด็นที่สามในเอกสารที่ CNN อ้างว่ารั่วมาจากทางการจีนคือ การรายงานผู้เสียชีวิตที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เอกสารชุดนี้มีข้อมูลยอดผู้เสียชีวิตของวันที่ 7 มีนาคม

ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในมณฆลหูเป่ยที่ถูกรายงานอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 2,986 ราย แต่เอกสารภายในชุดนี้ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตคือ 3,456 ราย

ดาลี ยาง นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชิคาโก ที่ศึกษาเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโรคระบาดในจีนแสดงความเห็นว่า ในเดือนมีนาคม ยังเป็นช่วงที่ทั่วโลกจับตาดูจีนอย่างใกล้ชิด จีนจึงอาจเลือกรายงานตัวเลขไม่ตรงกับความเป็นจริง และจีนอาจคิดว่า จีนจะสามารถคุมการระบาดได้เหมือนที่เคยจัดการกับโรคซาร์สได้มาก่อน

ประเด็นที่สี่ในเอกสารลับชิ้นนี้คือ ระบบการตรวจหาเชื้อที่ไม่แม่นยำในช่วงแรกของการระบาด

รายงานฉบับนี้ระบุว่า ในต้นเดือนมีนาคม จีนใช้เวลาโดยเฉลี่ย 23.3 วัน ในการตรวจหาเชื้อผู้ป่วย จนถึงยืนยันว่าติดเชื้อ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ระยะเวลานี้ถือว่าช้า และเป็นอุปสรรคต่อการติดตามและยับยั้งการระบาด

มากไปกว่านั้นคือ เอกสารชุดนี้ระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้ใช้ชุดตรวจหาเชื้อโรคซาร์สมาตรวจหาเชื้อโควิด-19 และค้นพบทีหลังว่ามันไม่สามารถตรวจหาเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อมูลนี้รั่วไหลมาถึงสำนักข่าว CNN ได้อย่างไร และมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน?

เจ้าหน้าที่รายหนึ่งที่อ้างตัวว่าทำงานอยู่ในสาธารณสุขของจีน ได้นำข้อมูลนี้มาเปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น โดยไม่ขอเปิดเผยรายชื่อ

อย่างไรก็ตามยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เจ้าหน้าที่รายนี้นำข้อมูลมาจากไหน และทำไมถึงเลือกข้อมูลชุดนี้มาเปิดเผย ซึ่งบนเอกสารมีข้อความที่ระบุว่า เป็นเอกสารภายใน ห้ามเปิดเผย

ซึ่งสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้นำข้อมูลเหล่านี้ไปยืนยันความน่าเชื่อถือกับผู้เชี่ยวชาญ 6 คน โดยหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานใกล้ชิดกับจีนเปิดเผยกับ CNN ว่า เขาเห็นข้อมูลเหล่านี้มาก่อนระหว่างที่เขาทำวิจัย ขณะที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงจากยุโรปที่มีความรู้เกี่ยวกับเอกสารและขั้นตอนราชการของจีน บอกกับ CNN ว่า ข้อมูลเหล่านี้เป็นของจริง

เช่นเดียวกับซาราห์ มอร์ริส ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางดิจิทัล จากมหาวิทยาลัยแครนฟิลด์จากอังกฤษ ที่บอกกับ CNN ว่า ลักษณะของการเก็บไฟล์ข้อมูลบ่งบอกว่า เป็นไฟล์ดั้งเดิม

ขณะนี้ยังไม่มีการออกมาชี้แจงจากรัฐบาลจีน และก่อนหน้านี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องนี้กับสำนักข่าว CNN

ข้อมูลนี้นับว่ารั่วไหลออกมาในเวลาที่องค์การอนามัยโลกเพิ่งเปิดตัวทีมผู้เชี่ยวชาญ 10 คนที่จะลงไปสืบหาต้นตอของไวรัสโควิด-19 ในประเทศจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

TOP ต่างประเทศ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ