บริษัท Kantar ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูล ได้จัดทำรายงานสำรวจความเห็นประชาชน 9,000 คนจาก 9 ประเทศ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ สิงคโปร์ และนิวซีแลนด์ ประเทศละ 1,000 คน ในประเด็นการตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ช่วงเวลาระหว่าง 22 ก.ย.-1 ต.ค. ที่ผ่านมา
ผลการสำรวจพบว่า 78% ของกลุ่มตัวอย่างบอกว่า มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ และในจำนวนที่เท่ากัน 78% มองว่า สภาพภูมิอากาศมีผลกระทบกับโลกจริง ๆ และมี 55% มองว่า มีผลกระทบกับตัวเองโดยตรง
รวมวรรคทองของบรรดาผู้นำระดับโลกจากการประชุม COP26 ใครพูดอะไรบ้าง?
COP26 จ่อยุติให้งบฯพัฒนาพลังงานฟอสซิล เลี่ยงโลกร้อนเกิน 1.5 องศา
เผยภาพจำลองระดับน้ำในเมืองทั่วโลก หากโลกร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียส
การสำรวจยังขอให้ประชาชนในแต่ละประเทศให้คะแนนสถาบัน/องค์กรต่าง ๆ ในประเทศตัวเองว่า มีการทำงานเพื่อรณรงค์หรืออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด ในสเกลเต็ม 10
พบว่า ประชาชนจาก 9 ประเทศให้คะแนนตัวเองสูงที่สุด คือเฉลี่ย 6.4 คะแนน ให้คะแนนสื่อมวลชน 5.3 คะแนน ให้คะแนนการปกครองส่วนท้องถิ่น 5.2 คะแนน ให้คะแนนประชาชนในชุมชนหรือสังคม 5.1 คะแนน ให้คะแนนรัฐบาลกลางของประเทศ 4.9 คะแนน และให้คะแนนบริษัทใหญ่ 4.5 คะแนน
เท่ากับว่า ประชาชนใน 9 ประเทศนี้มีความเชื่อมั่นในการทำงานเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลเฉลี่ยในระดับที่ค่อนข้างน้อย มีเพียงสิงคโปร์และนิวซีแลนด์ที่ประชาชนมากกว่า 30% ให้คะแนนรัฐบาลของตัวเองในระดับ 8-10 คะแนน
จากประเด็นย่อยดังกล่าว ประชาชนใน 9 ประเทศมองว่า สิ่งที่รัฐบาลของตนต้องปรับเปลี่ยนเป็นอันดับ 1 คือ “รัฐบาลต้องมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมากขึ้นเป็นอย่างมาก (42%)”
ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่ประชาชนมองว่า มีความสำคัญลดหลั่นลงมาคือ ต้องมีการลงทุนพลังงานสะอาดมากกว่านี้ ต้องเพิ่มความตระหนักรู้ ต้องร่วมมือกับนานาชาติ เป็นต้น
เอ็มมานูเอล รีเวียเร ผู้อำนวยการสำนักสำรวจความคิดเห็นและที่ปรึกษาทางการเมืองระหว่างประเทศของ Kantar กล่าวว่า “พลเมืองคาดหวังให้รัฐบาลของตัวเองต้องมีความรับผิดชอบในการปกป้องสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนใหญ่ และมองว่าตัวเองทำได้ค่อนข้างดีในการลงมือปกป้องสิ่งแวดล้อม”
เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกเมื่อได้ลงมืออนุรักษ์โลก คนส่วนใหญ่รู้สึกกระตือรือร้น โดยผู้ตอบแบบสอบถามอย่างน้อย 3 ใน 4 กล่าวว่า พวกเขาภูมิใจในสิ่งที่พวกเขากำลังทำเพื่อโลก (ยกเว้นในเยอรมนี ที่มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 62% เท่านั้นที่รู้สึกภูมิใจ) สิ่งนี้ทำให้คณะผู้จัดทำรายงานสำรวจเกิดคำถามว่า “ประชาชนเต็มใจที่จะทำมากกว่านี้จริง ๆ หรือไม่”
Kantar จึงสำรวจเพิ่มเติม และพบความย้อนแย้งเล็กน้อย นั่นคือคนส่วนใหญ่ 76% กล่าวว่า พวกเขาจะยอมรับกฎและข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดยิ่งขึ้นหากรัฐบาลมรนโยบายหรือแนวทางออกมา อย่างไรก็ตาม เกือบครึ่งหรือ 46% กล่าวว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนนิสัยหรือวิถีการใช้ชีวิตเดิมที่เคยทำอยู่
รีเวียเรวิเคราะห์ว่า ผลที่ออกมาขัดแย้งกันนี้ น่าจะเกิดจาก 46% นั้นมองว่าตนเองทำดีอยู่แล้ว และคนที่ต้องยอมรับกฎที่เข้มงวดขึ้นคือ “คนอื่น ๆ ในสังคม” เป็นการโทษกลาย ๆ ว่า คนอื่น ๆ ยังทำได้ไม่ดีพอ
นอกจากนี้ มีเพียง 51% เท่านั้นที่บอกว่า พวกเขาจะลงมือแก้ไขสภาพภูมิอากาศด้วยตัวเองต่อไป จะไม่ลงมือแก้ไขเองแล้ว 14% และลังเล 35%
โดยในกลุ่มที่บอกว่าจะไม่ลงมือทำอีกแล้วนั้นระบุว่า สาเหตุที่พวกเขาไม่เต็มใจจะทำเพื่อโลกมากกว่านี้คือ
- รู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำอยู่แล้ว (74%)
- แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญยังไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด (72%)
- ต้องการทรัพยากรเพิ่มเติมจากหน่วยงานของรัฐ (69%)
- มองว่าไม่สามารถทำได้ (60%)
- ขาดข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำ (55%)
- ไม่คิดว่าความพยายามของคนแต่ละคนจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ (39%)
- เชื่อว่าภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อมถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่เกินไป (35%)
- ไม่มีเวลาว่างพอจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ (33%)
เมื่อถามประชาชนต่อว่า ควรให้ความสำคัญกับอะไรจึงจะช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมได้ มีอยู่ 3 ความเห็นที่คนเห็นด้วยเกินครึ่งคือ ลดการสร้างของเสียเพิ่มการรีไซเคิล หยุดการตัดไม้ทำลายป่า และปกป้องสิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์
ขณะเดียวกัน เรื่องที่ดูมีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น การเลิกใช้พาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การใช้รถสาธารณะแทนรถส่วนตัว หรือการลดการรับประทานเนื้อสัตว์ กลับมีผู้เห็นชอบน้อยกว่า 25% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ประชาชนมองว่า มีผลโดยตรงกับการใช้ชีวิตประจำวัน
รีเวียเรกล่าวว่า การสำรวจความเห็นครั้งนี้มีบทเรียนที่สำคัญสำหรับรัฐบาลแต่ละประเทศอยู่
นายกฯอิรักสั่งล่าตัวมือส่งโดรนลอบสังหาร
จีนเตือนภัยหนาว - “หิมะแรก” ปักกิ่งมาเร็ว
“รัฐบาลต้องเป็นไปตามความคาดหวังของประชาชนให้ได้ รัฐบาลต้องเกลี้ยกล่อมประชาชนให้ร่วมมือ ซึ่งต้องไม่ใช่การสื่อสารปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เพราะคนรู้อยู่แล้ว แต่ต้องสื่อสารวิธีแก้ปัญหาและวิธีแบ่งความรับผิดชอบระหว่างรัฐบาลกับประชาชนอย่างเป็นธรรม” เขาบอก
เรียบเรียงจาก Kantar / The Guardian
ภาพจาก AFP / Shutterstock