เนเธอร์แลนด์ โควิดระบาดหนัก สั่งล็อกดาวน์อีกรอบ นายกฯรับสภาพหมดทางเลือก


โดย PPTV Online

เผยแพร่




ยิ่งเข้าใกล้ช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในยุโรปก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ล่าสุดเนเธอร์แลนด์ประกาศล็อกดาวน์ประเทศแล้ว แม้ว่านโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อการเฉลิมฉลองของผู้คนในช่วงหยุดยาวก็ตาม ผู้นำประเทศ ชี้ไม่มีทางเลือกอื่น หากไม่ต้องการเห็นผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล

เนเธอร์แลนด์ล็อกดาวน์ช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่

สหราชอาณาจักรพบ “โอมิครอน” แล้ว 37,000 ราย สูงสุดในโลก

"เช็ก 5 อาการโอมิครอน" ที่แพทย์ตรวจพบในกลุ่มผู้ติดเชื้อโควิด

บรรยากาศของย่านช้อปปิงในเมืองไนเมเคิน เมื่อ 18 ธ.ค. ที่ผ่านมา ชาวเนเธอร์แลนด์แห่กันออกมาจับจ่ายซื้อของ เพราะรัฐบาลกำลังเตรียมจะประกาศล็อกดาวน์ประเทศ เพื่อสกัดกั้นการระบาดของโควิด-19  หลายคนเล่าว่า ถ้าไม่ซื้อของวันนี้ ก็ไม่มีโอกาสอื่นแล้ว นั่นทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนแผนที่วางไว้ อย่างไรก็ตามหลายคนก็ระบุว่า ด้วยสถานการณ์การระบาด หากรัฐบาลจะล็อกดาวน์ พวกเขาก็ยินดี

ย้อนไปเมื่อวันที่18 ธ.ค. นายกรัฐมนตรีมาร์ค รูทท์ของเนเธอร์แลนด์ ประกาศบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์เข้มงวดในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้  โดยจะให้เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันอาทิตย์ ตามเวลาท้องถิ่น จนถึงวันที่ 14 มกราคม ปีหน้า เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ บรรดาร้านค้าที่ไม่จำเป็น บาร์ ยิม ร้านเสริมสวยและสถานที่สาธารณะอื่น ๆ จะต้องปิดให้บริการ

รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชนอยู่แต่กับบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พร้อมจำกัดจำนวนผู้มาเยือน โดยจะอนุญาตให้แต่ละครัวเรือนต้อนรับแขกที่มีอายุมากกว่า 13 ปี ได้ครั้งละ 2 คน และอนุโลมให้เพิ่มเป็น 4 คน ในระหว่างวันที่ 24 – 26 ธันวาคม และวันส่งท้ายปีเก่า ส่วนโรงเรียนและสถานศึกษา ต้องปิดการเรียนการสอนจนถึงวันที่ 9 มกราคม เป็นอย่างน้อย

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติของเนเธอร์แลนด์รายงานยอดผู้ติดเชื้อใหม่ที่ยังคงสูง ข้อมูลล่าสุดของวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา เนเธอร์แลนด์พบผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่ม 13,259 ราย โดยผู้ติดเชื้อใหม่รายวันสูงเกินหมื่นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน ส่วนยอดผู้ติดเชื้อสะสมเมีมากถึง 2.9 ล้านคนแล้ว ตั้งแต่เผชิญการแพร่ระบาด และมียอดผู้เสียชีวิตสะสมทั้งหมด 20,420 คน

อันที่จริงเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่ฉีดวัคซีนได้มาก เพราะปัจจุบันมีสัดส่วนประชากรที่ฉีดวัคซีนครบสองโดสแล้วมากถึงร้อยละ 85 แต่ปัญหาคือ อัตราการฉีดบูสเตอร์โดสยังน้อย เพราะฉีดได้เพียงร้อยละ 9 เท่านั้น ที่เป็นปัญหาก็เพราะ ยุโรปกำลังเผชิญกับการระบาดของทั้งเชื้อเดลตาและโอมิครอน ซึ่งตัวหลังนี้ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การจะป้องกันได้ต้องเร่งฉีดบูสเตอร์โดสให้ประชาชน ส่งผลให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ตัดสินใจล็อกดาวน์แบบเข้มงวด เพราะต้องการซื้อเวลาให้เจ้าหน้าที่มีเวลาในการฉีดบูสเตอร์โดสเพิ่ม เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ในเนเธอร์แลนด์ชี้ว่า ภายในสิ้นปีนี้ โควิดโอมิครอนอาจผงาดขึ้นมาเป็นโควิดสายพันธุ์หลักในประเทศ

แน่นอนว่า มาตรการนี้จะกระทบและสร้างความไม่สะดวกอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลหยุดยาว อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีมาร์ค รูทท์ ชี้ว่า นี่เป็นความจำเป็น มิฉะนั้นเนเธอร์แลนด์จะเผชิญกับสถานการณ์ควบคุมไม่ได้ อย่าง ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล

 

ไม่ใช่แค่เนเธอร์แลนด์ แต่หลายประเทศยุโรปได้ยกระดับการใช้มาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดขึ้น เพื่อป้องกันสายพันธุ์โอมิครอนระบาด เช่นตอนนี้ฝรั่งเศส บังคับใช้ข้อจำกัดการเดินทางของผู้ที่มาจากอังกฤษ  และเยอรมนีกลายเป็นชาติยุโรปชาติล่าสุด ที่ประกาศห้ามนักเดินทางจากอังกฤษเข้าประเทศ หวังชะลอการระบาดของเชื้อโควิด "โอมิครอน" โดยมาตรการใหม่ ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เย็นเมื่อวานนี้ ห้ามนักเดินทางที่ต้นทางจากอังกฤษเข้าประเทศ

มีข้อยกเว้นเฉพาะพลเมือง และผู้ที่มีถิ่นพำนักถาวรในเยอรมนีแต่จะต้องมีหลักฐานแสดงผลตรวจโควิดที่เป็นลบ และทุกคนจะต้องกักตัวเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนครบโดสแล้วหรือไม่ก็ตาม

การยกระดับมาตรการของเยอรมนีมีขึ้นไม่นาน หลังฝรั่งเศสเพิ่งออกมาตรการในลักษณะเดียวกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อสกัดเชื้อกลายพันธุ์ "โอมิครอน" ที่กำลังระบาดอย่างรวดเร็วในอังกฤษ

 

สหราชอาณาจักรยอดโอมิครอนพุ่งไม่หยุด สะสมเกือบ 25,000 ราย

เกิดอะไรขึ้นที่สหราชอาณาจักร? ที่นี่ไม่เพียงแค่มีจำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนมากที่สุดในโลก แต่การระบาดของโควิดเดลตาก็หนักนาเช่นกัน  กราฟแสดงยอดผู้ติดเชื้อใหม่ จะเห็นว่ายังคงสูงมาก  ข้อมูลล่าสุดของวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรพบผู้ติดเชื้อใหม่ 82,886 ราย ลดลงมาไม่มากเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่พบถึง 90,109 ราย ซึ่งสหราชอาณาจักรฉีดวัคซีนไปได้ในสัดส่วนที่สูง มีผู้ได้รับบูสเตอร์โดสแล้ว 48.8%

ที่น่ากังวลคือ จำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุดยอดผู้ติดโควิดโอมิครอนสะสมสูงถึง 24,968 รายแล้ว และมีผู้ป่วยที่มีอาการหนักต้องนอนโรงพยาบาล 104 ราย ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากเชื้อโอมิครอน ก็เพิ่มขึ้นจาก 1 ราย เป็น 12 รายแล้ว ในจำนวนนี้พื้นที่ที่ระบาดหนักที่สุดคือ อังกฤษ ที่ส่วนใหญ่ของผู้ติดเชื้อโอมิครอนอยู่ที่นี่

มีเสียงเตือนจากผู้เชี่ยวชาญว่า หากยังไม่มีมาตรการควบคุมเพิ่มเติมนอกเหนือจากแผนบีที่ใช้กันอยู่ตอนนี้ จำนวนผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจะเพิ่มเป็น 3,000 รายต่อวัน

ด้านนายซาดิค ข่าน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน ประกาศภาวะสาธารณภัยครั้งสำคัญ เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลในพื้นที่ ในขณะที่ กลุ่มที่ปรึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์สำหรับเหตุฉุกเฉิน หรือ SAGE ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนรายวันจริง ๆ อาจสูงถึงหลักแสนคนแล้ว แต่คนเหล่านี้ตกสำรวจ

 

ซาจิด จาวิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ ระบุผ่านการสัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า โควิดโอมิครอนกำลังระบาดอย่างรวดเร็ว และนั่นทำให้รัฐบาลอังกฤษอาจยกระดับมาตรการ คุมเข้มมากขึ้นก่อนวันคริสต์มาสจะมาถึง และแม้ว่าในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์จะยังมีข้อมูลที่ไม่มากเกี่ยวกับโควิดตัวนี้ แต่หากรอข้อมูลที่ชัดเจน กว่าจะถึงตอนนั้นอาจจะสายไปแล้วที่จะป้องกันการระบาด

ทั้งนี้ทางสหราชอาณาจักรจะออกมามาตรการใด ๆ เพิ่มหรือไม่ ยังต้องติดตามในสัปดาห์นี้  ด้านความคืบหน้าของโครงการฉีดวัคซีน รัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าจะฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสให้ประชาชนอายุมากกว่า 18 ปี ทุกคนภายในสิ้นปีนี้ ล่าสุดฉีดบูสเตอร์โดสไปได้แล้วร้อยละ 40  ส่วนสัดส่วนประชากรที่รับวัคซีนเข็มแรกและเข็มสองแล้วอยู่ที่ ร้อยละ 76.5 และร้อยละ 69.8

บรรยากาศของศูนย์ฉีดวัคซีนวันนี้ ที่สนามกีฬาเวมเบลย์ ในกรุงลอนดอน สนามที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร จากภาพจะเห็นว่ามีประชาชนจำนวนมากเดินทางมาต่อแถวรับวัคซีนตามคำขอร้องของรัฐบาล โดยหนึ่งในนั้นเล่าว่าเป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคล ในฐานะที่ทุกคนสามารถมีส่วนช่วยยับยั้งการระบาดได้

 

เตือนชาวอเมริกันควรฉีดวัคซีน ในการเดินทางช่วงหยุดยาว

อีกประเทศที่น่ากังวลคือ สหรัฐอเมริกา ล่าสุดนายแพทย์แอนโทนี เฟาซี ที่ปรึกษาทางการแพทย์ประจำทำเนียบขาวก็ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงในช่วงเทศกาลคริสต์มาสกำลังมาถึง เพราะผู้คนกำลังเตรียมที่จะเดินทางในช่วงวันหยุดยาว

โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายแพทย์แอนโทนี เฟาซี ขอให้ประชาชนที่ต้องเดินทางในช่วงเทศกาลปลายปีนี้เข้ารับวัคซีนบูสเตอร์โดส และยังขอให้สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีคนแออัด  เนื่องจากในช่วงนี้ชาวอเมริกันจะเดินทางกันมาก และการเดินทางจะนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการระบาดมากยิ่งขึ้น

ด้านจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ลดลง แต่ยังคงถือว่าสูง ข้อมูลของวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ พบผู้ติดเชื้อใหม่ 66,751 ราย ลดลงจากช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ตอนนั้นพบมากกว่าแสนราย อย่างไรก็ตามแม้จะลดลง แต่ยังไม่อาจวางใจเนื่องจากมีการระบาดของโควิดโอมิครอนที่แพร่ได้รวดเร็วขึ้น และปัจจุบันสหรัฐฯ ยังฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสได้น้อย โดยฉีดไปเพียงร้อยละ 18 เท่านั้น  

ปัจจุบันสหรัฐฯ พบการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนแล้ว 43 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐทั่วประเทศ การแพร่ระบาดดังกล่าวทำให้อัตราการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในสหรัฐเพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่เดือนที่แล้ว อัตราการป่วยและเสียชีวิตจากโควิด 19 เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 50 ส่วนการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 หนักที่สุดตอนนี้คือ รัฐนิวยอร์ก ที่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อใหม่จากรัฐนี้มากถึง 21,027 รายในวันเดียว และล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ บิล เดอ บลาซิโอ ผู้ว่าการัฐนิวยอร์กระบุว่า ขณะนี้กำลังพิจารณาว่าจะจัดงานฉลองเทศกาลคริสต์มาสที่ไทม์สแควร์เหมือนเช่นทุกปีหรือไม่

 

ในวันพรุ่งนี้ 21 ธันวาคม ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีกำหนดการจะประกาศแผนการรับมือกับการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน โดยคาดว่า เขาจะส่งสัญญาณไปยังชาวอเมริกันที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ให้เขารับวัคซีนเสีย และคนที่ฉีดครบสองโดสแล้ว ให้เข้ารับวัคซีนบูสเตอร์โดสเช่นกัน

TOP ต่างประเทศ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ