“โอมิครอน” ทำภาพรวมผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มทวีคูณ


โดย PPTV Online

เผยแพร่




การระบาดของโอมิครอน ทำให้จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในภาพรวมของทั้งโลกยอดผู้ติดเชื้อเป็นเท่าไหร่แล้ว? และอัตราการเพิ่มขึ้นของเชื้อเร็วขนาดไหนเมื่อเทียบกับช่วงการระบาดระลอกก่อนจากโควิดเดลตา

สหรัฐฯ ติดโควิดนิวไฮ 1.35 ล้าน - รพ.ไฟเขียวบุคลากรติดเชื้อทำงานต่อได้

จีนล็อกดาวน์ “อันหยาง” เพิ่มอีกเมือง เป็นเมืองที่ 3 ที่ถูกล็อกดาวน์

รายงานจากองค์การอนามัยโลก เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (10 ม.ค.65) ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมทั่วโลกเพิ่มเป็น 305 ล้านราย ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมเพิ่มเป็น 5.48 ล้านราย  ความน่าสนใจก็คือ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัปดาห์แรกของปี 2022 มีมากถึง 34 ประเทศที่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นสูงที่สุดเท่าที่ประเทศนั้นๆ  เคยระบาดมา โดยในจำนวนนี้มี 18 ชาติอยู่ในทวีปยุโรป และอีก 7 ชาติในทวีปแอฟริกา ด้วยสถานการณ์นี้ องค์การอนามัยโลกระบุว่า แต่ละวันทั่วโลกจะมีค่าเฉลี่ยของผู้ติดเชื้อใหม่วันละประมาณ 2 ล้านราย

ปัจจุบันโควิดโอมิครอนระบาดมาแล้วนาน 6 สัปดาห์ และกำลังสร้างแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขของหลายประเทศ ตัวอย่างจากสหราชอาณาจักร ที่ขณะนี้อังกฤษคือหนึ่งในประเทศที่เผชิญกับการระบาดรุนแรงที่สุด ข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขชี้ว่า สัดส่วนของผู้ติดเชื้อใหม่ต่อประชากรในอังกฤษอยู่ที่ 1 ต่อ 15 คน แต่หากตีวงแคบลงเหลือแค่ในกรุงลอนดอน เมืองหลวง ซึ่งมีความชุกของผู้ติดเชื้อมากที่สุด สัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นอีกเป็น ติดเชื้อใหม่ต่อประชากร ที่ 1 ต่อ 10 คน  ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในกรุงลอนดอนก็เพิ่มตาม จากราว 1,000 คนช่วงต้นเดือนธันวาคม เป็น 4,000 คนในปัจจุบัน

 

ความน่ากังวลของโอมิครอนไม่เพียงแค่แพร่ระบาดอย่างรวเร็ว แต่ยังทำให้คนที่เคยติดเชื้อกลับมาติดเชื้อซ้ำได้ง่ายขึ้น ข้อมูลล่าสุดจาก เนล เฟอร์กูสัน นักระบาดวิทยาจากสถาบันอิมพีเรียลคอลเลกลอนดอนชี้ว่า ในจำนวนยอดผู้ติดเชื้อของสหราชอาณาจักรตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีราวร้อยละ 10 - 15 ที่เป็นการติดเชื้อซ้ำ อย่างไรก็ตามทั้งหมดล้วนเป็นผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อื่นมาแล้ว และจนถึงปัจจุบันยังไม่มีรายงานพบว่า มีผู้ติดเชื้อโอมิครอนซ้ำสองแต่อย่างใด

ส่วนอาการของผู้ติดเชื้อซ้ำเป็นอย่างไร?  รายงานจากอิมพีเรียลคอลเลกลอนดอนชี้ว่า อาการป่วยจะมีน้อย เนื่องจากอดีตผู้ป่วยมีภูมิต้านทานแล้วจากการติดเชื้อครั้งแรก อย่างไรก็ตามสำหรับอดีตผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับวัคซีน การติดเชื้อโอมิครอนอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยยกตัวอย่างกรณีผู้เสียชีวิตจากโอมิครอนรายแรกของสหรัฐฯ เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ผู้เสียชีวิตเป็นชายวัยประมาณ 50 ปี จากรัฐเท็กซัส เคยติดเชื้อโควิดมาแล้ว และไม่เคยได้รับวัคซีนต้านโควิดเลย

ประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากที่สุดในโลกยังคงเป็น สหรัฐอเมริกา ที่จำนวนผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 61.5 ล้านคน เสียชีวิตราว 838,000 คน การระบาดของโอมิครอนทำให้ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บางวันแตะระดับล้านราย และนั่นทำให้จำนวนของผู้ที่ป่วยจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสูงตามไปด้วย

 

แพทย์สหรัฐฯ งานล้นมือ คาดยอดพุ่งสูงสุดอีก 2 สัปดาห์

 ตัวเลขผู้รักษาตัวในโรงพยาบาลของสหรัฐเมื่อวานนี้  10 มกราคม สูงถึง 132,646 ราย เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด  ทำลายสถิติตัวเลขเมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงการระบาดหนักที่สุดของสายพันธุ์เดลตา โดยตัวเลขในตอนนั้นอยู่ที่ 132,051ราย คาดการณ์กันว่า ตัวเลขจะสูงขึ้นอีกและจะถึงจุดสูงสุดของการระบาดในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า

ความน่าสนใจคือ ในบรรดาคนที่ต้องเข้าโรงพยาบาล กว่าครึ่งหรือร้อยละ 50 เป็นคนที่ได้รับวัคซีนแล้ว  โดยคนที่ป่วยหนักจนต้องอยู่ ICU คิดเป็นจำนวนร้อยละ 10 และร้อยละ 5 ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการระบาดระลอกที่แล้วถือว่า จำนวนผู้ป่วยหลักมีสัดส่วนที่น้อยกว่า

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ จำนวนของผู้ป่วยเด็กที่เพิ่มมากขึ้น รายงานจาก CDC นับตั้งแต่โควิดโอมิครอนระบาด สัดส่วนผู้ป่วยที่เป็นเด็กก็เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีน  สัดส่วนของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เป็นเด็กเพิ่มจาก 2.5 คนต่อประชากร 1 แสนราย เป็น 4 คนต่อประชากร 1 แสนราย ท่ามกลางจำนวนผู้ป่วยที่เป็นเด็กเล็กเพิ่มขึ้น ในส่วนของเด็กโตอายุ 5-11 ปี มีร้อยละ 16 ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว ส่วนในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี ร้อยละ 50 ได้รับวัคซีนครบแล้วเช่นกัน

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้แล้วว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วเนื่องจากโอมิครอน เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่ม จำนวนผู้เข้าโรงพยาบาลก็จะเพิ่มตาม แต่สัดส่วนของการป่วยหนักจะน้อยลงเนื่องจากคนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนแล้ว แม้อาการป่วยจะไม่มาก แต่ปัญหานี้กำลังส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขของสหรัฐฯ  คาดกันว่าปัจจุบันร้อยละ 24 ของโรงพยาบาลทั่วสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากเจ้าหน้าที่หลายคนติดเชื้อ หรือต้องกักตัวเพราะสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ

ล่าสุดหลายรัฐตัดสินใจแก้ปัญหานี้ด้วยการอนุญาตให้บุคลากรทางการแพทย์ที่แม้จะติดเชื้อ แต่หากไม่มีอาการป่วยก็สามารถมาทำงานตามปกติได้  รัฐที่อนุญาตแล้วได้แก่ รัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนรัฐโรดไอแลนด์และแอริโซนา หากเจ้าหน้าที่ติดเชื้อแต่มีอาการป่วยเล็กน้อย ก็สามารถมาทำงานได้เช่นกัน

 

ทั้งนี้รายงานจากแพทย์สหรัฐฯ ที่เตือนว่า ยอดผู้ติดเชื้อใหม่จะแตะจุดสูงสุดในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ สอดคล้องกับคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ

สำนักข่าว CNN เผยแพร่บทสัมภาษณ์ดอกซ์เตอร์อาชิช จาห์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพสากลแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่เตือนว่าการระบาดจะเข้าสู่จุดสูงสุดในปลายเดือนนี้เช่นกัน

ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ของสหรัฐฯ วันที่ 10 มกราคมอยู่ที่ราว 1 ล้าน 4 แสนราย ซึ่งนิวยอร์กไทมส์รายงานว่าตัวเลขที่รายงานนี้เป็นยอดสะสมช่วงวันหยุดด้วย

TOP ต่างประเทศ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ