อิสราเอล เผยผลศึกษา วัคซีนเข็ม 4 “อาจไม่พอสู้” โควิดโอมิครอน
โมเดอร์นาพัฒนาวัคซีน 2 in 1 กันได้ทั้งโควิด-หวัดใหญ่ ตั้งเป้าสำเร็จใน 2 ปี
นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ประกาศในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่นว่า รัฐบาลของเขาได้ประกาศยกเลิกใช้แผน B ซึ่งเป็นมาตรการรับมือกับโควิดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และหันไปใช้แผน A ซึ่งมีความเข้มข้นน้อยกว่าแทน
โดย แผน B คือ การแนะนำให้ประชาชนทำงานอยู่ที่บ้าน บังคับต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยในโรงเรียน และบังคับต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ
ซึ่งการยกเลิก 2 มาตรการแรกให้มีผลทันที ส่วนมาตรการบังคับใส่หน้ากากอนามัยมีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 26 มกราคมที่จะถึงนี้ และมาตรการอื่น ๆ ที่จะมีผลสิ้นสุดลงในวันที่ 26 มกราคมอีก อย่างเช่น การบังคับให้ประชาชนต้องแสดงพาสปอร์ตวัคซีนเพื่อเข้าใช้บริการไนต์คลับ สถานบันเทิง หรือและงานชุมนุมขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า แม้แผน B จะถูกยกเลิก แต่ทางผู้จัดงานยังสามารถที่จะเลือกบังคับใช้บัตรผ่านโควิด หรือ Covid pass ของสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติต่อไปได้
ผู้นำอังกฤษให้เหตุผลในการผ่อนคลายมาตรการว่า เนื่องจากมีการฉีดวัคซีนได้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเข็มบูสเตอร์โดสที่ฉีดไปได้มากถึงร้อยละ 63.7 ของประชากรแล้ว ทรวมถึงที่ผ่านมาประชาชนให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการเป็นอย่างดีจนทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ลดลง
ล่าสุดยอดผู้ติดเชื้อของสหราชอาณาจักรลดลงอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขของวันที่ 19 มกราคม อยู่ที่ 108,069 คน เพิ่มขึ้นจากเมื่อวานเล็กน้อย หลังลดลงมาต่ำกว่าหลักแสนได้ 2-3 วัน เพราะย้อนไปวันที่ 18 มกราคม ยอดผู้ติดเชื้อใหม่อยู่ที่ 94,225 คน ลดลงร้อยละ 38.9 จากสัปดาห์ที่แล้ว เช่นเดียวกับจำนวนผู้ป่วยโควิดที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลก็ลดลงร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว ตัวเลขนี้คือที่มาที่ทำให้ผู้นำอังกฤษประกาศผ่อนคลายมาตรการ
อย่างไรก็ตาม นักระบาดวิทยาหลายคนแสดงความไม่เห็นด้วย ลอเรนซ์ ยัง นักไวรัสวิทยาจากมหาวิทยาลัยวอร์ริก ระบุว่า อังกฤษยังไม่พ้นจากสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงและอันตราย ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ยังถือว่าสูง และที่สำคัญตัวเลขที่ลดลงยังถือไม่ได้ว่าจะเป็นขาลงอย่างถาวร การยกเลิกมาตรการในขณะนี้จึงเป็นการส่งสัญญานผิด ๆ ให้ประชาชนไม่ระวังตัวเองทั้งที่สถานการณ์ยังอันตรายอยู่
การเตือนของนักวิทยาศาสตร์ในอังกฤษสอดคล้องกับการให้สัมภาณ์ของ ดร. ทีโดรส อัดฮานอม กรีบีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) เมื่อวานนี้ที่ระบุว่า การระบาดใหญ่ของโควิด-19 “ยังห่างไกลจากจุดสิ้นสุด พร้อมเตือนถึงการตั้งสมมุติฐานผิด ๆ ที่ว่า เชื้อโอมิครอนมีความรุนแรงน้อยลง จึงทำให้อันตรายจากไวรัสชนิดลดลงนี้ และบอกว่าอย่าเข้าใจผิด โอมิครอนทำให้ผู้คนต้องเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิต และแม้จะเป็นกรณีที่อาการไม่หนัก แต่ก็ทำให้ผู้ป่วยท่วมท้นโรงพยาบาลได้
แล้วประชาชนว่าอย่างไรกัน เนื่องจากอังกฤษเป็นหนึ่งในประเทศที่ประชาชนอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการใช้ชีวิตมานาน ทหลังรัฐบาลประกาศยกเลิกมาตรการ ไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัย ไม่ต้องแสดงพาสปอร์ตวัคซีน ปรากฏว่าความเห็นของคนในกรุงลอนดอนเมืองหลวง ซึ่งเป็นจุดที่มีการระบาดเข้มข้นที่สุดของประเทศเมื่อเทียบต่อประชากร มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลยกเลิกมาตรการควบคุมโควิดแผน B