สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเครน เปิดเผยว่าความช่วยเหลือทางทหารชุดแรก น้ำหนัก 90 ตัน เดินทางมาถึงกรุงเคียฟแล้ว ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่มีขึ้นหลังจากนายแอนโทนี บลิงเคน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ เดินทางเยือนยูเครนในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความตึงเครียดบริเวณพรมแดนรัสเซียและยูเครนที่ยังคุกรุ่น
แถลงการณ์ของสถานทูตสหรัฐฯ ระบุด้วยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะยังคงให้ความช่วยเหลือทางการทหารในลักษณะนี้ต่อไป เพื่อสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธของยูเครน ในความพยายามปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน จากการรุกรานของรัสเซีย
ทำเนียบขาวของสหรัฐฯเตือน รัสเซียอาจเปิดฉากบุกยูเครนได้ทุกเมื่อ
ผู้นำยูเครนเตือนเสี่ยงทำสงครามเต็มรูปแบบกับรัสเซีย
ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ อนุมัติงบประมาณสนับสนุนด้านความมั่นคงของยูเครนวงเงิน 200 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 6,500 ล้านบาท เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
ด้านประเทศบอลติก ได้แก่ เอสโตเนีย ลัตเวียและลิทัวเนีย ประกาศว่าจะส่งขีปนาวุธต่อต้านรถถังและขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ไปให้ยูเครน ซึ่งรัฐมนตรีบลิงเคน ระบุว่า สหรัฐฯ ให้การรับรองการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์เหล่านี้ อย่างเต็มที่ เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถในการป้องกันตัวเองของยูเครน จากการรุกรานที่ไร้เหตุผลและไร้ความรับผิดชอบของรัสเซีย
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักร เตือนว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย มีแผนจะวางตัวนักการเมืองยูเครนที่ให้การสนับสนุนรัสเซีย ขึ้นเป็นผู้นำในรัฐบาลยูเครน พร้อมระบุว่า บุคคลดังกล่าว มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็น “เยฟเวน มูราเยฟ” (Yevhen Murayev) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของยูเครน
“ไบเดน” เตรียมหารือผู้นำยูเครน หวังลดตึงเครียดในภูมิภาค หลังยกหูคุย “ปูติน”
นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้รัสเซียลดระดับความตึงเครียด ยุติท่าทีที่แข็งกร้าว การบิดเบือนข้อมูล และดำเนินการตามแนวทางทางการทูต พร้อมระบุด้วยว่า การรุกรานของกองทัพรัสเซีย จะเป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่และจะเป็นบทเรียนราคาแพงให้รัสเซีย
สำหรับการส่งมอบความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ ให้กับยูเครน ยังมีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังการหารือระหว่างนายบลิงเคน และนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย ที่นครเจนีวา ของสวิตเซอร์แลนด์ สิ้นสุดลงโดยที่หลายฝ่ายมองว่าไม่ค่อยมีความคืบหน้าที่ชัดเจนในการคลี่คลายความขัดแย้งบริเวณพรมแดนยูเครน
อย่างไรก็ตาม นายบลิงเคนเปิดเผยหลังการหารือเสร็จสิ้นว่า การประชุมดังกล่าว เป็นการพูดคุยที่ตรงไปตรงมาและเป็นรูปธรรม พร้อมเตือนว่า รัสเซียจะเผชิญการตอบโต้ที่รวดเร็ว รุนแรงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจากชาติพันธมิตรตะวันตก หากเปิดฉากรุกรานยูเครน
ขณะที่นายลาฟรอฟ กล่าวว่า การเจรจาจะดำเนินต่อไปเกี่ยวกับข้อเรียกร้องด้านความมั่นคงของทางการมอสโก และคาดว่าจะได้รับคำตอบอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจากรัฐบาลวอชิงตันในสัปดาห์หน้า และระบุด้วยว่า คำตอบจากสหรัฐฯ จะเป็นข้อพิสูจน์ว่า การพูดคุยของทั้งสองฝ่าย เดินมาถูกทางแล้วหรือไม่ พร้อมตั้งความหวังว่า จากนี้ความตึงเครียดในประเด็นเรื่องวิกฤตยูเครนจะลดน้อยลง และย้ำว่า การเพิ่มกำลังทหารของรัสเซียไม่เป็นภัยคุกคามต่ออดีตเพื่อนบ้านโซเวียต
ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินเรียกร้องชาติตะวันตก ให้ยกเลิกการซ้อมรบทางทหาร และยุติการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับพันธมิตรในยุโรป รวมถึง ไม่รับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (NATO) เนื่องจากมองว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของรัสเซีย
ก่อนหน้านี้ รัสเซียผนวกแคว้นไครเมียของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ มาแล้วในปี 2014 หลังจากชาวยูเครนลุกฮือประท้วงและโค่นล้มประธานาธิบดีที่ฝักใฝ่รัสเซีย
ทั้งนี้ หน่วยข่าวกรองของชาติตะวันตกและยูเครน ประเมินว่า รัสเซีย อาจจะเปิดฉากโจมตีหรือรุกรานยูเครนอีกครั้งในช่วงต้นปีนี้ หลังทางการมอสโกส่งกำลังทหารเกือบ 1 แสนนายเข้าประชิดชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน เพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคให้เพิ่มสูงขึ้น แต่รัสเซียปฏิเสธข้อกล่าวหามาโดยตลอด