สหรัฐฯ ขู่ระงับเปิดท่อส่งก๊าซรัสเซียหากบุกยูเครน
ระวังเต็มสูบ! สหรัฐฯ ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์รอบ 3 หนุนยูเครน ป้องกันรัสเซียบุก
ล่าสุดพรรคการเมืองในรัสเซียได้ชงเรื่องให้สภาดูม่า หรือสภาล่างของรัสเซียประกาศเอกราชในพื้นที่นี้ พร้อมส่งอาวุธไปให้ด้วย เพื่อเตรียมรับมือกับรัฐบาลยูเครน
ทำไม โดเนตสค์ และลูฮันสค์ จึงต้องการเป็นเอกราช ดินแดนนี้ส่งผลอะไรต่อความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนที่เกิดขึ้น และมีความสำคัญอย่างไรต่อผู้เล่นทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นยูเครน รัสเซีย สหรัฐฯ และยุโรป ติดตามได้จากรายงานพิเศษนี้ค่ะ
ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน เริ่มขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เมื่อภาพถ่ายทางดาวเทียมชุดหนึ่งชี้ให้เห็นว่ารัสเซียได้ตั้งกองกำลังประชิดชายแดนของยูเครน
ความมั่นคงของยูเครนแขวนอยู่บนเส้นด้าย รัสเซียและประเทศสมาชิกนาโตตึงเครียด นำไปสู่การเจรจาหลายรอบ แต่ยังไม่มีความคืบหน้า ปัญหานี้กลายเป็นปัญหาระดับนานาชาติ อย่างไรก็ตาม สำหรับยูเครนแล้ว เมื่อปรับจุดโฟกัสของความขัดแย้งในระดับระหว่างรัฐลงมาจะพบว่า ท่ามกลางความซับซ้อนมีตัวแสดงย่อยซ่อนอยู่ คือ ยูเครนตะวันออก
ยูเครนตะวันออก ตั้งอยู่บนพื้นที่บริเวณตะวันออกของแม่น้ำนีเปอร์ และมีพื้นที่ชายแดนติดกับรัสเซีย มีอุตสาหกรรมหลัก คือ การทำเหมือง มีประชากรอาศัยอยู่ราว 8.8 ล้านคน ที่นี่ ประชาชนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในภูมิภาคดอนบัส สนับสนุนประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินและรัฐบาลรัสเซีย
ภูมิภาคดอนบัสมีจังหวัดที่สำคัญสองจังหวัด คือ โดเนสค์และลูฮันสค์ มีความสำคัญในความขัดแย้งนี้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนรัสเซีย มีเชื้อสายรัสเซีย และใช้ภาษารัสเซีย ในสมัยสหภาพโซเวียต ช่วงปี 1918 ดอนบัสเคยเป็นส่วนหนึ่งของรัฐเอกราชชื่อว่าสาธารณรัฐโซเวียตโดเนตสค์ -ครีวีย์ ร็อก แต่ไม่ได้รับการยอมรับและถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของยูเครนซึ่งเป็นเขตการปกครองหนึ่งของสหภาพโซเวียตในปี 1922
หลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย ยูเครนประกาศเอกราช ภูมิภาคดอนบัสได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศยูเครน อย่างไรก็ตาม ประชาชนในพื้นที่ไม่ได้ยินดีกับการอยู่ภายใต้ร่มเงาของยูเครนมากนัก จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติยูเครนในปี 2014 และเหตุการณ์ผนวกคาบสมุทรไครเมียสองเหตุการณ์นี้จุดประกายความฝันให้กับชาวดอนบัสอีกครั้ง 2 เดือนหลังเหตุการณ์ปฏิวัติยูเครน เกิดความไม่สงบขึ้นในภูมิภาคดอนบัส
วันที่ 12 เมษายน กลุ่มสนับสนุนรัสเซียเข้ายึดที่ทำการกระทรวงกลาโหม หลังจากนั้นสองวัน อีกอร์ เกอร์กิน หนึ่งในแกนนำกลุ่มโปรรัสเซียได้เข้ายึดที่ทำการส่วนราชการภูมิภาคและขึ้นบริหารงานราชการ
ต่อมาวันที่ 12 พฤษภาคม กลุ่มโปรรัสเซียได้จัดการทำประชามติเพื่อกำหนดอนาคตของโดเนตสค์และลูฮันสค์ขึ้น ผลการทำประชามติดังกล่าวพบว่า ร้อยละ 40 ต้องการการแบ่งอำนาจจากรัฐบาลยูเครน แต่ไม่ได้ต้องการแยกออกจากยูเครน ร้อยละ 38.4 ต้องการเป็นสาธารณรัฐใหม่ ร้อยละ 27.5 ต้องการกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย และร้อยละ 10.6 ไม่ต้องการแยกดินแดน
ต่อมาโดเนตสค์ และลูฮันสค์ตัดสินใจประกาศเอกราชจากยูเครนในปี 2014 มีรัฐธรรมนูญตลอดจนหน่วยงานรัฐต่าง ๆ เป็นของตนเอง ภายใต้ชื่อว่าสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ สาธารณรัฐประชาชนลูฮันสค์
นี่คือความฝันสูงสุดของประชาชน อย่างไรก็ตามสถานะของโดเนตสค์และลูฮันสค์ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของยูเครนในทางนิตินัย เนื่องจากไม่มีความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งยูเครน ที่กำหนดไว้ว่า การจะแยกดินแดนได้ต้องทำประชามติโดยคนทั่วประเทศ
นอกจากนี้ทั้งโดเนตสค์และลูฮันสค์ยังขาดการรับรองจากนานาชาติซึ่งเป็นปทัสถานหนึ่งในการเกิดรัฐเอกราช ไม่มีประเทศใดให้การรับรองรวมถึงรัสเซีย
ระหว่างเส้นทางสู่เอกราช ในช่วงปี 2014 รัฐบาลยูเครนเองก็ปราบปรามกวาดล้างกลุ่มโปรรัสเซียอย่างหนักจนมีผู้เสียชีวิตไปถึง 14,000 คน เกิดเป็นสงครามขนาดย่อม ๆ ที่เรียกว่าสงครามแห่งดอนบัส สงครามแห่งดอนบัสนี้ได้รับฉายาว่าเป็นสงครามที่โลกลืม แม้โลกจะลืม แต่คนในพื้นที่ยังจดจำได้ดี
เยคาทารินา คือ หนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจจากสงครามดอนบัส ซึ่งในตอนนั้นเธออายุเพียง 16 ปี ภาพเด็ก ๆ ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าในเมืองโดเนสตค์ พวกเขาเล่นของเล่นอย่างมีความสุข ในขณะด้านนอกยังอยู่ในสภาวะสงคราม
ช่วงปี 2015 ตามหน้าต่างของศูนย์รับเลี้ยงเด็กจะอัดแน่นด้วยกระสอบทรายแบบนี้ ดูไม่เข้ากับบรรยากาศสดใสข้างใน แต่จำเป็นเพื่อป้องกันอันตรายจากสงคราม ที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งของผู้ใหญ่ ไรซา ปรีลิปกา ครูใหญ่ของศูนย์รับเลี้ยงเด็กแห่งนี้กล่าวว่า เธอจะไม่พูดถึงสงครามให้เด็ก ๆ ได้ยิน นี่เป็นจรรยาบรรณประจำตัวของเธอและจรรยาบรรณความเป็นครูที่พึงมี แต่เด็ก ๆ รับรู้ได้ถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้น อัลบินา เด็กหญิงหน้าตาน่ารักวัย 6 ขวบที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้มีความฝันว่า ไม่อยากเห็นสงคราม
สงครามในดอนบัสยังไม่สิ้นสุดลง วันนี้ความสงบที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความสงบชั่วคราวจากสันธิสัญญาหยุดยิงปี 2020ประชาชนยังคงเฝ้าฝันถึงรัฐอิสระ ผลจากการที่ไม่มีใครรับรองสถานะทำให้ดอนบัสกลับไม่ได้ไปไม่ถึง จะยูเครนก็ไม่ใช่ รัสเซียก็ไม่เชิง ความเป็นไปได้ในตอนนี้ คือ ขยับไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียก่อน แล้วค่อยตัดสินอนาคตหลังจากนั้น
แม้สถานะยังคงคลุมเครือ แต่ภูมิภาคดอนบัสเป็นกุญแจสำคัญในสมรภูมิความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนครั้งนี้ นักวิชาการมองว่าเป็นพื้นที่เสี่ยง เพราะรัฐบาลยูเครนไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ อนาคตที่ไม่แน่นอนของดอนบัสอาจทำให้ที่นี่กลายเป็นสาธารณะอิสระหรือกลายเป็นร่างทรงของรัสเซีย หากเป็นอย่างหลัง นี่อาจเป็นจุดตายที่สำคัญของรัฐบาลยูเครน ถ้ารัสเซียต้องการจะรุกรานยูเครนขึ้นมา
สำหรับรัสเซีย แม้จะไม่ได้แสดงท่าทีโดยตรงว่าอยากผนวกดินแดนดังกล่าวเหมือนตอนที่เกิดขึ้นกับคาบสมุทรไครเมีย แต่รายงานจากสื่อตะวันตกกล่าวว่า รัสเซียได้ส่งกองกำลังนอกเครื่องแบบไปประจำการในภูมิภาคนี้แล้ว ดังจะเห็นได้จากคำกล่าวของประธานาธิบดีโจ ไบเดนว่ารัสเซียมีขึ้นชื่อมายาวนานเรื่องการส่งกองกำลังนอกเครื่องแบบเข้าแทรกซึม
ด้านนักวิชาการจาก Center for Strategic and International Studies หรือ CSIS วิเคราะห์ว่ามีความเป็นไปได้ที่รัสเซียอาจบุกยูเครนโดยใช้ภูมิดอนบัสเป็นเครื่องมือ หรือรัสเซียอาจส่งกองกำลังเข้าไปรักษาสันติภาพที่นั่น เพราะทั้งสองดินแดนนี้ยอมรับว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย และกองกำลังรัสเซียอาจอยู่ที่นั่นจนกว่ารัสเซียจะบรรลุข้อตกลงที่ต้องการ
อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาปัญหาปัญหายูเครนจบลงด้วยดี รัสเซียอาจไม่บุกยูเครน แต่มีแนวโน้มที่จะให้การสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในดอนบัสต่อไป
อนาคตของยูเครนตะวันออกนั้นยังคงคลุมเครือ สร้างความเหนื่อยล้าและลำบากใจให้กับคนในพื้นที่ อีกทั้งยังสร้างภาวะกระอักกระอ่วนให้แก่ประเทศที่เกี่ยวข้องและประชาคมโลกไม่น้อย