อย่างไรก็ตาม เขาจะยังทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีต่อไปจนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งพรรคอนุรักษ์นิยมจะมีการประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคกัน และคนที่ได้รับเลือกจะขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ของสหราชอาณาจักร
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ส่งผลเฉพาะการเมืองภายในสหราชอาณาจักรเท่านั้น แต่จะส่งผลต่อทิศทางความเป็นไปของสงครามในยูเครนด้วย เพราะนายกรัฐมนตรีจอห์นสันได้ชื่อว่าเป็นผู้สนับสนุนยูเครนอย่างเต็มที่ในสงคราม
ชาวรัสเซีย เริ่มเดือดร้อนจากมาตรการคว่ำบาตร
รัสเซียยกระดับโจมตี ส่งทหารพลร่มบุกคาร์คิฟ
คำถามคือ ผู้นำคนใหม่จะมีนโยบายต่อยูเครนแบบเดียวกับนายกจอห์นสันหรือไม่ ความกังวลของชาวยูเครนเป็นจำนวนมาก
เพราะที่ผ่านมาเป็นที่รู้กันว่า นายกจอห์นสันคือผู้ที่ให้การสนับสนุนยูเครนอย่างเต็มที่ทั้งในเรื่องการส่งอาวุธ การคว่ำบาตรต่อรัสเซีย นอกจากนี้นายกจอห์นสันยังมีความใกล้ชิดกับประธานาธิบดีเซเลนสกี โดยเขาเคยเดินทางไปพบกับผู้นำยูเครนที่เคียฟถึง 2 ครั้ง และประธานาธิบดีเซเลนสกีเคยบอกว่า นายกจอห์นสันคือผู้นำโลกที่เขาเคารพรักมากที่สุด
เมื่อคืนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีเซเลนสกีออกมาพูดถึงนายกฯบอริส จอห์นสัน หลังทราบข่าวการประกาศลาออก โดยเขาได้ขอบคุณนายกฯจอห์นสันที่ช่วยเหลือยูเครนอย่างเต็มที่นับตั้งแต่เกิดสงครามขึ้น
ขณะที่ชาวยูเครนจำนวนมากรู้สึกตกใจกับข่าวนี้ และระบุว่า สหราชอาณาจักรคือมิตรแท้ของยูเครนในวันที่ยูเครนบอบช้ำจากสงคราม และพวกเขากังวลว่าผู้นำคนใหม่ของสหราชอาณาจักรจะสนับสนุนยูเครนเหมือนเดิมหรือไม่
ดูโพลสำรวจความคิดเห็นกันก่อนว่า ใครกำลังได้รับความนิยม และน่าจะขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ต่อจากบอริส จอห์นสัน และคนที่เป็นตัวเต็ง มีนโยบายอย่างไรต่อยูเครน
ยูโกฟ” (YouGov) บริษัทวิจัยตลาดและวิเคราะห์ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตของอังกฤษได้จัดทำการสำรวจความคิดเห็นสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยม 716 คน
คนที่นำมาอันดับหนึ่งคือ เบน วอลเลซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
อันดับ 2 คือ เพนนี มอร์ดันท์ รัฐมนตรีกระทรวงการค้าระหว่างประเทศ
อันดับ 3 คือริชี ซูนัค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้
และอันดับ 4 คือ ลิซซ์ ทรัสส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
สื่ออังกฤษวิเคราะห์ว่าชื่อของ เบน วอลเลซ ถูกพูดถึงในฐานะว่าที่ผู้นำคนใหม่ของสหราชอาณาจักร เพราะเขามีบทบาทโดดเด่นในวิกฤตสงครามยูเครน-รัสเซีย และการผลักดันให้รัฐบาลเพิ่มงบกลาโหม ได้รับคำชื่นชมจากสมาชิกรัฐสภาพรรคอนุรักษ์นิยมจำนวนมาก
อย่างไรก็ตามยังไม่มีความชัดเจนว่า เบน วอลเลซจะลงแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมหรือไม่
โดยพรรคอนุรักษ์นิยมจะมีการประชุมกันในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งระหว่างนี้ บอริส จอห์นสัน จะทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีไปก่อน
แต่หากมองข้ามช็อตไปว่าเบน วอลเลซ ลงชิงตำแหน่งและได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี นโยบายของเขาต่อยูเครนจะเป็นอย่างไร
คำตอบคือ จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากนโยบายของนายกจอห์สันเพราะอะไร
เหตุผลแรกคือ นโยบายของสหราชอาณาจักรต่อยูเครนเป็นนโยบายที่ผ่านความเห็นชอบ และได้รับเสียงเกือบเป็นเอกฉันท์จากสภา ซึ่งเป็นเสียงจากพรรคการเมืองทุกพรรค การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีจึงจะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่อยูเครน
อีกเหตุผล คือ ในทางส่วนตัว เบน วอลเลซ มีความใกล้ชิดกับประธานาธิบดีเซเลนสกี
เขาเป็นที่รู้จักของคนในยูเครนพอๆกับนายกจอห์นสัน โดยเคยเดินทางไปเยือนกรุงเคียฟแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผยหลายครั้งตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครนขึ้น
นี่คือการเดินทางไปกรุงเคียฟของเบน วอลเลซ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยเขาได้พูดคุยกับประธานาธิบดีเซเลนสกีและรัฐมนตรีต่างประเทศของยูเครนอย่างเป็นกันเองและสนิทสนม
ขณะเดียวกัน ประเด็นสงครามในยูเครนก็ถูกหยิบยกมาพูดในที่ประชุม G20 ซึ่งรัฐมนตรีต่างประเทศของชาติสมาชิกหารือกันอยู่ที่เกาะบาหลีของอินโดนีเซียวันนี้
โดยรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียได้เรียกร้องให้ G20 หาทางช่วยยุติสงครามในยูเครน
‘เร็ตโน มาร์ซูดี’ รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียกล่าวระหว่างเปิดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ G20 โดยระบุว่าเป็นความรับผิดชอบของสมาชิก G20 ที่จะต้องทำให้สงครามในยูเครนจบลงเร็วขึ้น โดยขอให้ทุกฝ่ายจัดการความเห็นต่างบนโต๊ะเจรจาไม่ใช่สนามรบ
มาร์ซูดียังขอให้สมาชิก G20 หาหนทางเดินไปข้างหน้าเพื่อแก้ปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ พร้อมย้ำว่าผลของสงครามในยูเครนนำที่นำมาสู่ปัญหาทั้งราคาพลังงานและอาหารพุ่งสูงจะส่งผลกระทบกับประเทศรายได้ต่ำมากที่สุด
รัสเซียเป็นสมาชิก G20 ด้วย ซึ่งรายงานระบุว่าระหว่างที่ ‘เซอร์เก ลาฟรอฟ’ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียเดินเข้ามาจับมือกับรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียก่อนเข้าประชุม ก็มีเสียงตะโกนถามขึ้นมาจากฝูงชนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครว่า “เมื่อไหร่คุณจะหยุดสงครามสักที”