“แอมเนสตี้ฯ” ตำหนิยูเครน ตั้งฐานทัพในเมือง ทำพลเรือนอยู่ในอันตราย


โดย PPTV Online

เผยแพร่




องค์กรแอมเนสตี้ฯ ตำหนิยูเครนว่า นำชีวิตของพลเรือนไปเสี่ยง ด้วยการตั้งฐานทัพในเขตที่อยู่อาศัยของพลเรือน รวมทั้งโรงเรียนและโรงพยาบาล

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ออกรายงานตำหนิกองทัพยูเครนว่า นำชีวิตของพลเรือนไปเสี่ยง ด้วยการตั้งฐานทัพในเขตที่อยู่อาศัยของพลเรือน รวมทั้งโรงเรียนและโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังโจมตีรัสเซียจากพื้นที่พลเรือน และบางครั้งอาศัยอยู่ในแฟลตที่อยู่อาศัย

รายงานสรุปว่า ด้วยกลยุทธ์เช่นนี้ของยูเครน ทำให้ในบางกรณีกองกำลังรัสเซียจะตอบโต้ด้วยการโจมตีเขตที่อยู่อาศัย ทำให้พลเรือนตกอยู่ในความเสี่ยงและทำลายโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน และยังไม่อพยพพลเรือนออกนอกพื้นที่สงครามด้วย

"เซเลนสกี" ขอผู้นำจีน ช่วยหยุดรัสเซียและยุติสงครามในยูเครน

สหประชาชาติเตือน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียของยูเครนอยู่ในอันตราย

ยูเครนรายงาน รัสเซียพยายามโจมตีเมืองบ้านเกิดของ “เซเลนสกี”

แอ็กเนส คัลลามาร์ด เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “เราได้บันทึกกลยุทธ์ของกองกำลังยูเครนที่ทำให้พลเรือนตกอยู่ในความเสี่ยงและละเมิดกฎหมายสงครามเมื่อพวกเขาปฏิบัติการในพื้นที่ที่มีพลเรือน”

นานาชาติ กังวลหายนะจากนิวเคลียร์โรงไฟฟ้าซาโปริซเซีย

นักวิจัยของแอมเนสตี้ได้ตรวจสอบการโจมตีของรัสเซียในเขตคาร์คิฟ ดอนบาส และมิโคลาเยฟของยูเครน ระหว่างเดือน เม.ย.-ก.ค. ที่ผ่านมา พวกเขาพบหมู่บ้านและเมือง 19 แห่งที่กองกำลังยูเครนใช้โจมตีรัสเซียหรือตั้งฐานทัพ ใน 3 ภูมิภาคนี้ แอมเนสตี้พบว่า มีการใช้โรงพยาบาล 5 แห่งเป็นฐานทางทหาร และจากโรงเรียน 29 แห่งที่แอมเนสตี้เข้าเยี่ยมชม มี 22 แห่งถูกใช้เป็นฐานทัพ

อย่างไรก็ตาม อ็อกซานา โปคัลชุก หัวหน้าสำนักงานแอมเนสตี้ประจำยูเครน ได้ออกมาโต้แย้งว่า ทีมงานในยูเครนไม่เห็นด้วยกับรายงานดังกล่าว และบอกว่า รายงานดังกล่าวอ้างอิงจากหลักฐานที่ไม่สมบูรณ์

“ข้อโต้แย้งของทีมเราเกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์ของรายงานดังกล่าวไม่ได้ถูกนำมาพิจารณา ตัวแทนของสำนักงานยูเครนได้พยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเผยแพร่เอกสารนี้” โปคัลชุกบอก

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของยูเครน ฮันนา มาเลียร์ กล่าวหาแอมเนสตี้ว่า “บิดเบือนความจริง” และไม่เข้าใจสถานการณ์จริง ๆ ที่หน้างาน เธอกล่าวว่า ทหารยูเครนถูกส่งเข้าประจำการในเมืองและพื้นที่ที่มีประชากรเพื่อปกป้องพวกเขาจากการโจมตีของรัสเซีย

“ในรายงานไม่มีการพูดถึงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สหพันธรัฐรัสเซียกำลังก่ออาชญากรรมที่นี่ ยูเครนกำลังปกป้องดินแดนของตัวเอง รัสเซียเพิกเฉยต่อกฎสงครามทั้งหมด และต่างจากยูเครน รัสเซียไม่ยอมให้องค์กรระหว่างประเทศอย่างแอมเนสตี้เข้าประเทศด้วยซ้ำ” มาเลียร์กล่าว

ส่วนประเด็นเรื่องการไม่อพยพพลเรือนออกจากพื้นที่ที่มีการปะทะนั้น มาเลียร์เน้นว่า กองกำลังยูเครนได้จัดรถโดยสารเพื่ออพยพพลเรือนออกจากแนวหน้าแล้ว แต่บางคนปฏิเสธที่จะไป แม้ทางการจะอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม

ขณะที่ โอเล็กซี เรซนิคอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยูเครน กล่าวว่า “ความพยายามใด ๆ ที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับสิทธิของชาวยูเครนในการต่อต้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพื่อปกป้องครอบครัวและบ้านเรือนของพวกเขา … เป็นการบิดเบือน”

ด้านที่ปรึกษาประธานาธิบดียูเครน มิคาอิโล โปดดลยัก ทวีตข้อความว่า “สิ่งเดียวที่เป็นภัยคุกคามต่อยูเครน คือกองทัพรัสเซียที่เต็มไปด้วยเพชฌฆาตและผู้ข่มขืนที่เดินทางมายูเครนเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”

มาเลียร์โต้แย้งอีกว่า ระบบต่อต้านอากาศยานของยูเครนจำเป็นต้องตั้งอยู่ในเมืองต่าง ๆ เพื่อปกป้องโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน และหากกองกำลังของยูเครนมีฐานทัพอยู่แต่นอกเมือง จะทำให้กองกำลังรัสเซียบุกเข้ามากวาดล้างได้โดยไม่ถูกขัดขวาง

สตีเวน ไฮน์ส ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายมหาชนระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยกรีนิชในลอนดอน ผู้ร่างแนวทางการใช้โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเพื่อการทหารในระหว่างความขัดแย้ง กล่าวว่า การกระทำของยูเครนไม่ได้ทำให้พวกเขาเสียหาย

“การใช้โรงเรียนไม่ผิดกฎหมายเสมอไป เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในยูเครนถือว่ายอดเยี่ยมในแง่นี้ … ดังนั้นกองทัพยูเครนจึงไม่จำเป็นต้องฝ่าฝืนแนวทางปฏิบัติ” เขากล่าว

แอมเนสตี้ระบุว่า รับทราบดีว่ากฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศไม่ได้ห้ามกองกำลังตั้งฐานหรือพักผ่อนในโรงเรียน แต่เน้นว่า “กองทัพมีหน้าที่หลีกเลี่ยงการใช้โรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านหรืออาคารอะพาร์ตเมนต์ที่เต็มไปด้วยพลเรือน … เว้นแต่จะมีความจำเป็นทางทหาร”

ไฮน์สเห็นด้วยกับการประเมินของแอมเนสตี้ เขากล่าวว่า เป็นความรับผิดชอบของผู้บัญชาการทหารในพื้นที่ที่จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงความเสียหาย และพยายามเลือกอาคารที่หากถูกโจมตี จะไม่เสี่ยงต่อชีวิตพลเรือนที่อยู่ใกล้เคียง

ในสถานการณ์ในอุดมคติ พื้นที่ที่มีพลเรือนจะไม่ควรเป็นส่วนหนึ่งของสงคราม แต่ธรรมชาติของการรุกราน ทำให้การทำสงครามในเมืองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยูเครน ไฮน์สกล่าว

ทั้งนี้ แอมเนสตี้เน้นย้ำว่า การที่ยูเครนใช้กลยุทธ์ดังกล่าวไม่ได้หมายความว่า การโจมตีตามอำเภอใจของรัสเซีย ซึ่งทำให้พลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บนับไม่ถ้วน เป็นสิ่งที่ชอบธรรม

แอมเนสตี้รายงานว่า การโจมตีของรัสเซียหลายครั้งที่บันทึกไว้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา พบว่าเป็นการโจมตีด้วยอาวุธที่ไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งรวมถึงระเบิดลูกปราย ที่ถูกสั่งห้ามในระดับสากล หรือด้วยอาวุธระเบิดอื่น ๆ ที่มีผลกระทบเป็นวงกว้าง

“การปฏิบัติของกองทัพยูเครนในการตั้งฐานทัพภายในพื้นที่พลเรือน ไม่ได้หมายความว่ารัสเซียจะสามารถโจมตีตามอำเภอใจได้ ทุกฝ่ายในความขัดแย้งต้องแยกแยะระหว่างเป้าหมายทางทหารและโครงสร้างของพลเรือน และใช้มาตรการป้องกันที่เป็นไปได้ทั้งหมด รวมทั้งการเลือกอาวุธ เพื่อลดอันตรายต่อพลเรือนให้น้อยที่สุด การโจมตีตามอำเภอใจที่ฆ่าหรือทำร้ายพลเรือนหรือสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพลเรือนถือเป็นอาชญากรรมสงคราม” แอ็กเนส คัลลามาร์ด กล่าว

เธอเสริมว่า “รัฐบาลยูเครนควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า ตั้งกองกำลังของตนอยู่ห่างจากพื้นที่ที่มีพลเรือน หรือควรอพยพพลเรือนออกจากพื้นที่ที่กองทัพปฏิบัติการอยู่ กองทัพไม่ควรใช้โรงพยาบาลเพื่อทำสงคราม และควรใช้โรงเรียนหรือบ้านพลเรือนเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นที่เหมาะสม”

 

เรียบเรียงจาก Amnesty International / The Guardian

นานาชาติ กังวลหายนะจากนิวเคลียร์โรงไฟฟ้าซาโปริซเซีย

ภาพจาก AFP

TOP ต่างประเทศ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ