นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่ “มาห์ซา อามินี” หญิงชาวเคิร์ด-อิหร่านวัย 22 ปี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 ก.ย. หลังถูก “ตำรวจศีลธรรม” จับกุม เพราะไม่สวมใส่ฮิญาบคลุมผมและใส่ชุดที่เปิดเผยท่อนแขนและขา ก็เกิดเหตุประท้วงรุนแรงอย่างต่อเนื่องในอิหร่าน
จนรัฐบาลตัดสินใจใช้ไม้แข็ง ด้วยการลงมติผ่าน “กฎหมายประหารชีวิตผู้ที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงต่อรัฐ” ซึ่งหมายความรวมถึงเหล่าผู้ประท้วงที่ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับอามินีด้วยความโกรธแค้น
ไฟไหม้เรือนจำอิหร่าน ท่ามกลางกระแสประท้วง
นักเรียนหญิงอิหร่าน ถอดฮิญาบ-ปลดรูปผู้นำ
อิหร่านประท้วงเดือด ปม ตร.ทำร้ายผู้หญิงดับ
และล่าสุดสื่อท้องถิ่นอิหร่านรายงานว่า ศาลอิหร่านได้มีคำพิพากษาประหารชีวิตผู้ประท้วงรายหนึ่งโดยไม่เปิดเผยชื่อ ซึ่งจุดไฟเผาสถานที่ราชการในระหว่างการประท้วง จากความผิด ฐาน “ก่อกวนความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ และการสมรู้ร่วมคิดกันก่ออาชญากรรมต่อความมั่นคงของชาติ ก่อสงครามและความชั่วร้ายบนโลก ก่อสงครามผ่านการลอบวางเพลิง และเจตนาทำลายล้าง”
นอกจากนี้ ยังมีผู้ประท้วงอีก 5 คนถูกจำคุก 5-10 ปี ภายใต้ข้อหาก่อกวนความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ และการสมรู้ร่วมคิดกันก่ออาชญากรรมต่อความมั่นคงของชาติ
ตลอดเวลาเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมาที่เกิดเหตุประท้วง ทางการอิหร่านได้พยายามปราบปรามผู้ประท้วงด้วยความรุนแรง โดยจับกุมและดำเนินคดีกับผู้ประท้วงแล้วอย่างน้อย 1,000 คน และสังหารผู้ประท้วงไปแล้วถึง 326 ราย ทำให้นี่เป็นหนึ่งในการประท้วงที่นองเลือดที่สุดครั้งหนึ่งของอิหร่าน
องค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น (UN) ได้ออกมาเรียกร้องให้ทางการอิหร่าน “หยุดการใช้โทษประหารชีวิตกับผู้ที่เข้าร่วมหรือถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการชุมนุมอย่างสันติ” และ “หยุดใช้โทษประหารเป็นเครื่องมือในการปราบปรามการประท้วง”
เรียบเรียงจาก CNN
ภาพจาก AFP