หลังการอ่านคำพิพาษาของศาลฎีกาให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี สิ้นสุดลง เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัว พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง ไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพทันที และไม่เพียงแค่ถูกจำคุกเท่านั้น แต่ทั้งสองยังต้องเผชิญกับขั้นตอนระเบียบและกฎหมายที่มีอยู่ ทั้งการถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์
โดยตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 ได้กำหนดเหตุการถอดยศไว้ว่า ถ้าตำรวจหรือผู้ที่พ้นจากราชการตำรวจผู้ใด ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกก็ให้เสนอขอถอดยศผู้นั้น และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ.2548 ได้บัญญัติเหตุการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไว้เช่นเดียวกัน
ดังนั้น ถ้าตำรวจหรือผู้พ้นจากราชการตำรวจ ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ก็เป็นเหตุให้ต้องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดย พล.ต.อ.วาสนา อยู่ในข่ายถูกถอดยศตำรวจ และเรียกคืนเครื่องราชฯ ขณะที่ นายปริญญา อยู่ในข่ายถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ใช้อำนาจมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว 2557 ถอดยศอดีต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปแล้ว ส่วนนายตำรวจระดับนายพลตำรวจที่เคยถูกถอดยศไปตามขั้นตอนปกติ ก็คืออดีต พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกในคดีฆาตกรรมสองแม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ ปัจจุบันได้รับการพักโทษ
ทั้งนี้ พล.ต.อ.วาสนา เป็นอดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีวัดพระธรรมกาย เมื่อปี 2542ส่วน นายปริญญา เคยเป็นอธิบดีกรมการปกครอง ทั้งสองถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาเป็นเวลา 2 ปี หลังถูกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นฟ้องฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 เพราะไม่เร่งสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง ข้อร้องเรียนกล่าวหาพรรคไทยรักไทย ว่าจ้างพรรคการแผ่นดินไทย และพรรคพัฒนาชาติไทย ลงรับสมัครเลือกตั้ง ในวันที่ 2 เม.ย. 2549 ตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงและการวินิจฉัย พ.ศ. 2542 โดยครั้งนั้นพรรคประชาธิปัตย์และการเมืองหลักๆ บอยคอยการเลือกตั้ง
