เหตุวุ่นวายทางการเมืองในประเทศเล็กๆ ทางภาคตะวันตกของทวีปแอฟริกา ที่เกือบบานปลายเป็นสงครามกลางเมืองนี้ ถูกปลดชนวนลงด้วยการประนีประนอมกันระหว่าง ประธานาธิบดี ยาห์ยา จัมเมห์ ผู้นำเผด็จการของแกมเบีย และสมาคมชาติแอฟริกาตะวันตก ที่เข้ามาแทรกแซง เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ประธานาธิบดี จัมเมห์ ที่ครองอำนาจมานานกว่า 22 ปี ปฏิเสธไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งเดือนธันวาคม ที่ นาย อาดามา แบร์โรว์ เป็นฝ่ายชนะ ซึ่งกลุ่มชาติแอฟริกาตะวันตก และสหประชาชาติ รับรองว่าเป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง
นอกจากนี้ นายจัมเมห์ ยังประกาศภาวะฉุกเฉินพร้อมส่งทหารตรึงกำลังบริเวณชายแดนอีกด้วย ทำให้กลุ่มชาติแอฟริกาตะวันตกตัดสินใจใช้ไม้แข็ง ส่งกองกำลังผสม เข้าไปประชิดชายแดนแกมเบีย ขีดเส้นตายให้ จัมเมห์ ลงจากอำนาจภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งปฏิบัติการนี้ได้รับความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
ซึ่งขณะที่ผู้นำเผด็จการแกมเบียพยายามต่อรองและยื่นเงื่อนไขในการลี้ภัย กองกำลังกลุ่มชาติแอฟริกาตะวันตก ก็ค่อยๆ รุกเข้าไปยังเมืองหลวง บันจูล โดยปราศจากการต่อต้านของกองทัพแกมเบีย ขณะที่ประชาชนชาวแกมเบียเองต่างก็ออกมาโห่ร้องแสดงความยินดีกับทหารจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาควบคุมการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ
สุดท้ายนาย จัมเมห์ ก็ยอมลงจากอำนาจแต่โดยดี ทำให้แกมเบียได้กลับเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ทศวรรษกว่าๆ แต่เรื่องไม่ได้จบลงแค่นี้ เพราะดูเหมือนกับว่านาย นาย จัมเมห์ ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศไปมือเปล่า
นาย อาดามา แบร์โรว์ ประธานาธิบดีแกมเบียคนใหม่ ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินทางการคลังทันที หลังพบว่าเงินคงคลังของรัฐนั้นแทบจะว่างเปล่า โดยหายไปกว่า 380 ล้านบาท เงินคงคลังที่หายไปนั่น เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจแกมเบียได้นานถึงสองปี
นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า มีผู้พบเห็นรถยนตร์หรู ทั้งโรลส์รอยส์ และเบนท์ลี่ ถูกลำเลียงขึ้นเครื่องบินลำที่ นาย จัมเมห์ ใช้ลี้ภัยไปยังประเทศ กินี อีกด้วย
ถึงตอนนี้ นาย จัมเมห์ ยังไม่ได้ออกมาชี้แจงถึงข้อกล่าวหา และดูเหมือนกับว่าจะสามารถลอยตัวได้ เพราะที่ประเทศกินีก็ไม่ยอมรับอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ และไม่มีองค์กรภาคประชาสังคมที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีผู้นำเผด็จการ ที่ไม่แตกต่างจากตัว นาย จัมเมห์ ยังเองซักเท่าไหร่ด้วย