จากปัญหาฝุ่นมลพิษที่รุนแรงอยู่ในขณะนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะระบบทางเดินหายใจเท่านั้น แต่ผิวของเราก็อาจได้รับผลกระทบที่รุนแรงด้วย โดยเฉพาะการฉีดสารเติมเต็มหรือการตกแต่งรูปหน้า ทั้งฟิลเลอร์หรือ
โบท็อกซ์ แต่จะกระทบจะเกิดขึ้นอย่างไร รุนแรงแค่ไหน
แพทย์หญิงศิลดา กนกรังษี อาจารย์แพทย์ประจำศูนย์ผิวหนัง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หรือ มศว. บอกว่า การฉีดโบท็อกซ์และฟิลเลอร์ เป็นหัตถการด้านความงามที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว และยิ่งในสภาวะที่ค่าฝุ่นละออง PM2.5 เข้าขั้นวิกฤติทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ยิ่งทำให้มีความเสี่ยงที่ไม่พึงประสงค์จากการฉีดสารเหล่านี้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบติดเชื้อ การเกิดผื่นคัน เพราะการสัมผัสฝุ่น ยิ่งโดยเฉพาะคนที่แพ้ง่ายเกิดอาการคันก็จะเกา จึงทำให้จุดที่ฉีดเกิดการผิดรูป ซึ่งตามหลักแล้ว สารเหล่านี้ต้องใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์จึงจะคงที่
ขณะที่ความคิดเห็นของประชาชนต่อการตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากฝุ่นละออง PM2.5 ต่อผิวหนัง ส่วนใหญ่มีความเข้าใจ และเมื่อมีคำเตือนเรื่องการฉีดโบท็อกซ์และฟิลเลอร์อาจทำให้หน้าเบี้ยว ก็ป้องกันตนเองด้วยการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เลือกสถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียน โดยคนที่อยากเสริมความงามด้วยวิธีนี้บอกว่า ยังต้องการทำหัตถการอยู่ไม่ได้กังวลใจมากนัก แต่ก็มีบางส่วนบอกว่าของดการทำหัตถการในช่วงนี้ไปก่อน
อย่างไรก็ตาม มีโรคทางผิวหนังที่แพทย์หญิงศิลดา เป็นห่วงมากกว่ากลุ่มที่เสริมความงาม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเด็กที่ผิวจะไวต่อฝุ่นละออง กลุ่มโรคภูมิแพ้เรื้อรัง และกลุ่มโรคสะเก็ดเงิน โดยกลุ่มเหล่านี้ควรหลีกเลี่ยงการออกไปสัมผัสกับฝุ่นละออง เพราะตัวโรคมีพื้นฐานการอักเสบของผิวหนังอยู่แล้ว และยิ่งไปสัมผัสกับฝุ่นละอองอาจทำให้อาการอักเสบรุนแรงขึ้นได้
ขณะที่การดูแลตนเอง นอกจากสวมหน้ากากแล้ว อาจจะสวมเสื้อผ้าที่เป็นแขนยาว ขายาว เพื่อปกป้องผิวหนัง และเมื่อกลับถึงบ้านก็พยายามลดปริมาณที่ผิวสัมผัสฝุ่น ด้วยการอาบน้ำและล้างหน้าให้เร็วที่สุด และควรใช้สบู่ปกติ ไม่ใช้สบู่ที่รุนแรง และหากมีปัญหาข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคผิวหนังควรไปพบแพทย์เฉพาะทาง ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง นรเศรษฐ์ ครองบุญเรือง ถ่ายภาพ จิรายุ จูฑะพุทธิ รายงาน