โดยบางช่วงบางตอนในการไลฟ์เฟซบุ๊กของพระมหาไพรวัลย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายออกมาวิพากย์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมว่า ครูบาอาจารย์บางรูปที่ท่านเป็นห่วงเราจริงๆ เช่นเจ้าคุณอาจารย์พิพิธ เจ้าคุณอาจารย์พยอม ท่านพูดให้เรามีกำลังใจ ท่านพูดอย่างนี้ไม่ทำให้เรารู้สึกดี แต่มันทำให้เราเกรงใจว่าพระผู้ใหญ่เขารู้แหละว่าที่เราทำมันไม่สำรวม ไม่เหมาะสม แต่ท่านก็ยังพยายามพูดเพื่อให้เห็นข้อดีของเราว่ามันมีที่ไหนไลฟ์แล้วคนดูหลายหมื่นหลักแสน มันคือปรากฏการณ์ที่มีประโยชน์
พระมหาไพรวัลย์ พร้อมน้อมรับทุกคำติติ่ง ถ้า พศ. จะเรียกปรับทัศนคติก็ยินดีไปพบ
พศ. ชี้ พระไลฟ์ "มหาสมปอง - มหาไพรวัลย์" ตามยุคสมัย ให้เจ้าอาวาสพิจารณาความเหมาะสม
ส่วนกรณีที่นายสิปป์บวร ออกมาให้สัมภาษณ์ พระมหาไพรวัลย์ บอกว่า ไม่รู้ว่าพูดดีเพราะกลัวทัวร์ลงหรือเปล่า ขอให้เลิกการเคลมโดยการใช้มาตรฐานขององค์กรตัวเองไปตัดสิน ตนไม่มีปัญหา ใครจะวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม ดีมาก ขอบคุณที่ออกมาคอมเมนต์ จะได้รู้ว่าศาสนาพุทธในเมืองไทยมีความหลากหลาย ความหลากหลายเป็นสิ่งสวยงาม อย่ามองว่าความหลากหลายคือความขัดแย้ง
พระมหาไพรวัลย์ บอกอีกว่า ถามว่าคุณเก็บธรรมะของคุณไว้ให้ใคร คุณมีของดีแต่ของดีของคุณมันถูกพับเก็บอยู่ในหีบ นึกถึงสภาพ คุณมีพระไตรปิฎกแต่คุณล็อกกุญแจ แต่ละวัดถามก่อนมีตู้พระไตรปิฎกไว้แต่ล็อกกุญแจ มีไว้เพื่ออะไร ธรรมะทุกวันนี้เป็นธรรมะที่มีไว้แค่เทศน์ให้ผีฟัง บทอภิธรรมลึกซึ้งมากเอาไว้สวดตอนไหน งานศพ แล้วจะมีเพื่ออะไร มีประโยชน์ไหมสวดให้ผีฟัง ผีมันตายไปแล้วมันฟังไม่ได้ ฉะนั้นธรรมะมันต้องมีประโยชน์ เอามาแทรก เอามาหยอด เอามาย่อย เหมือนคุณมีพระไตรปิฎกซึ่งมันเป็นสุดยอดแล้วศูนย์รวมคำสอนทั้งหมด
และดูเหมือนว่า เรื่องนี้จะยังไม่จบง่ายๆ เมื่อล่าสุด นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก ว่า ทางสมาคมฯ ได้ทำคำร้องส่งไปยังมหาเถรสมาคม (มส.) ผ่านผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เพื่อขอให้มีบัญชาสอบสวนเอาผิด
ช่วงหนึ่ง ในโพสต์ระบุว่า ข้ออ้างของการไลฟ์สดเพื่อต้องการเผยแพร่ธรรมะให้เท่าทันยุคสมัยโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นคนรุ่นใหม่จะได้เข้าถึงธรรมะ เป็นเพียงข้ออ้างที่ไร้น้ำหนักของเหล่า พส.พวกนี้ เพราะคนจะซาบซึ้งในธรรมะต้องมาจากระบบการสั่งสอนอบรมมาตั้งแต่ครอบครัว วัด โรงเรียนร่วมกัน ไม่ใช่มาจากภิกษุที่ทำตนเป็นคณะตลกที่เปลี่ยนหน้าจากหม่ำ เท่ง โหน่ง มาเป็น 2 พส. กลุ่มนี้ และเชื่อว่าไม่มีใครซาบซึ้งจากข้อธรรมะ ที่นำมาพูดให้ขบขันได้ แต่กลับเป็นการทำให้ศาสนามัวหมองถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์จากเหล่า พส.ดังกล่าว โดยสังเกตดูได้จากการโพสต์ทวงเพจต่างๆ ที่มาโปรโมทแบรนด์ของตนในขณะที่ พส.ไลฟ์โดยให้เบอร์พร้อมเพย์ อย่างไม่ละอายต่อพระธรรมวินัย