ไทยอยู่ในอันดับ 110 ดัชนีการรับรู้ทุจริต ชี้ยังแก้คอร์รัปชันไม่ได้


โดย PPTV Online

เผยแพร่




อันดับดัชนีการรับรู้ทุจริตประจำปี 2021 ของไทยไม่กระเตื้อง คะแนนร่วง ตอกย้ำปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไม่ได้รับการแก้ไข

เมื่อวันที่ 25 ม.ค. ที่ผ่านมา องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International: TI) ได้ประกาศคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ประจำปี 2021 โดยให้คะแนนและจัดอันดับ 180 ประเทศและดินแดนทั่วโลก เกณฑ์อยู่ที่ 0 คะแนน (ทุจริตมาก) ถึง 100 (ปลอดทุจริต)

TI ระบุว่า ในปีนี้ คะแนนเฉลี่ยทั่วโลกยังคงไม่เปลี่ยนแปลงติดต่อกันเป็นปีที่ 10 โดยคะแนนเฉลี่ยของทั้งโลกอยู่ที่ 43 คะแนน โดยเสริมว่า มีถึง 131 ประเทศที่ไม่มีความคืบหน้าในการต่อต้านการทุจริตในทศวรรษที่ผ่านมา

ครม.ไฟเขียว “ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการฟ้องคดีปิดปากฯ” คุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสทุจริต จนท.รัฐ

ศาลคดีทุจริตฯ ตรวจพยานคดีอดีต "ผู้กำกับโจ้" กำหนด 3 ประเด็น ฆ่ามาวิน หรือไม่

เกาหลีใต้อภัยโทษ พัค กึน-ฮเย อดีตประธานาธิบดีหญิงคนแรก คดีคอร์รัปชั่น

นอกจากนี้ มีถึง 2 ใน 3 ของประเทศทั่วโลกที่ได้คะแนนต่ำกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าประเทศเหล่านี้มีปัญหาการทุจริตหรือคอร์รัปชันขั้นร้ายแรง

สำหรับประเทศที่ครองอันดับ 1 ของโลก มีอยู่ 3 ประเทศ ได้แก่ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ และนิวซีแลนด์ ด้วยคะแนน 88 คะแนน ซึ่งสะท้อนว่าประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่ปราบปรามการทุจริตได้ดีเยี่ยม

ในขณะที่ประเทศไทยได้เพียง 35 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 110 ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 6 ของกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งประเทศสิงค์โปร์ได้คะแนนสูงสุด คือ 85 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก

ด้านสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ออกรายงานวิเคราะห์ผลการประเมินที่ประเทศไทยได้รับ

โดยนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ระบุว่า คะแนน CPI ของประเทศไทยในปี 2021 ลดลงจากปี 2020 ซึ่งจากแหล่งข้อมูลทั้ง 9 แหล่ง ประเทศไทยได้คะแนนเพิ่มขึ้น 1 แหล่ง คงที่ 4 แหล่ง และลดลง 4 แหล่ง

คะแนนเพิ่มขึ้น 1 แหล่งข้อมูล ได้แก่

1. แหล่งข้อมูล Varieties of Democracy Institute (V-DEM) ได้ 26 คะแนน (ปี 2020 ได้ 20 คะแนน) วัดเกี่ยวกับความหลากหลายของประชาธิปไตย การถ่วงดุลของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ตลอดจนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ โดยพิจารณาตามคำถามที่ว่า “การทุจริตทางการเมืองเป็นที่แพร่หลายมากน้อยเพียงใด”

คะแนนเพิ่มขึ้น เนื่องจากการวิเคราะห์บรรยากาศทางการเมืองในปีที่ผ่านมา พบว่า “ประเทศไทยได้จัดให้มีการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น ซึ่งเปิดโอกาสให้ภาคการเมืองต่าง ๆ สามารถทำกิจกรรมทางการเมือง รวมทั้งสื่อมวลชน และภาคประชาชนได้มีบทบาทในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ส่งผลให้บรรยากาศความเป็นประชาธิปไตยมีมากขึ้น รวมถึงการตอบคำถามของผู้เชี่ยวชาญ ในรูปแบบ Expert survey แสดงให้เห็นทัศนคติที่ดีขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมเรียกรับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐ ความโปร่งใสในการบริหารเงินงบประมาณ และการป้องกันการขัดกัน แห่งผลประโยชน์ อีกทั้งในปีนี้มีการปรับเปลี่ยนระเบียบวิธีวิจัยที่ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น”

สำหรับ คะแนนคงที่ 4 แหล่งข้อมูล ประกอบด้วย

1. แหล่งข้อมูล Bertelsmann Stiftung Transformation Index (BF (TI)) ได้ 37 คะแนน (ปี 2020 ได้ 37 คะแนน) ใช้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์และประเมินกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตย และระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี และดูความเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน คือ ด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ และด้านการจัดการของรัฐบาล

ผลประเมินคะแนนคงที่ เนื่องจากถึงแม้รัฐบาลไทยจะมีนโยบายในการแก้ไขปัญหาการทุจริต ตลอดจนการดำเนินการต่าง ๆ แต่จากการรับรู้ของผู้ประเมินยังคงขาดความเชื่อมั่นในการลงโทษผู้กระทำการทุจริต รวมถึงขาดความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้การประชาสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดการรับรู้ถึงความจริงจังของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการป้องกันการทุจริตยังไม่ชัดเจน

2. แหล่งข้อมูล Economist Intelligence Unit Country Risk Ratings (EIU) ได้ 37 คะแนน (ปี 2020 ได้ 37 คะแนน) วิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศต้องเผชิญ ได้แก่ ความโปร่งใสในการจัดสรรและการใช้จ่ายงบประมาณ การใช้ทรัพยากรของราชการ/ส่วนรวม การแต่งตั้งข้าราชการจากรัฐบาลโดยตรง มีหน่วยงานอิสระในการตรวจสอบการจัดการงบประมาณของหน่วยงานนั้น ๆ มีหน่วยงานอิสระด้านยุติธรรมตรวจสอบผู้บริหาร/ผู้ใช้อำนาจ ธรรมเนียมการให้สินบน เพื่อให้ได้สัญญาสัมปทานจากหน่วยงานของรัฐ

ผลประเมินคงที่ เพราะแม้ที่ผ่านมาภาครัฐไทยได้มีการจัดทำรายละเอียดทั้งแผนการใช้จ่าย เป้าหมาย และแหล่งที่มาของรายได้ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการหรือข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณ การใช้ทรัพยากรของราชการ และการแต่งตั้งข้าราชการ ผ่านรูปแบบหรือช่องทางดิจิทัลต่าง ๆ รวมถึงการเปิดช่องทางให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในการดำเนินงานของภาครัฐ

แต่ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญอาจเห็นว่า ถึงแม้ประเทศไทยจะดำเนินการต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว แต่ประเทศไทยยังคงมีปัญหาไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมาในเรื่องความโปร่งใสในการจัดสรรและการใช้จ่ายงบประมาณ การใช้ทรัพยากรของราชการ การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง การตรวจสอบการจัดการงบประมาณในกรณีต่าง ๆ จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญยังคงมองสถานการณ์ประเทศไทยไม่ต่างจากเดิม

3. แหล่งข้อมูล Global Insight Country Risk Ratings (GI) ได้ 35 คะแนน (ปี 2020 ได้ 35 คะแนน) โดยพิจารณา “ความเสี่ยงของการที่บุคคลหรือบริษัทจะต้องเผชิญกับการติดสินบนหรือการคอร์รัปชันในรูปแบบอื่นเพื่อที่จะทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น เช่น เพื่อให้ได้รับสัญญาเพื่อการนำเข้าและส่งออก หรือเพื่อความสะดวกสบายเกี่ยวกับงานด้านเอกสารต่าง ๆ มีมากน้อยเพียงใด”

คะแนนคงที่ เพราะถึงแม้รัฐบาลไทยมีนโยบายในการแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชัน แต่ผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้รับข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง (กลุ่มลูกค้า ผู้ทำสัญญากับภาครัฐ นักลงทุน นักธุรกิจ ผู้รับงานอิสระ และเครือข่ายนักข่าว) เห็นว่าการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยยังคงมีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับการติดสินบนหรือสิ่งตอบแทนสำหรับการพิจารณาสัญญาและการขอใบอนุญาตต่าง ๆ ตลอดจนการคอร์รัปชันในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น

4. แหล่งข้อมูล PRS International Country Risk Guide (PRS) ได้ 32 คะแนน (ปี 2020 ได้ 32 คะแนน) ประเมินการคอร์รัปชันในระบบการเมือง ที่นักธุรกิจมักพบ

คะแนนคงที่ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์ข้อมูลแล้วเห็นว่า การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยยังมีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับปัญหาการเรียกรับเงินหรือการจ่ายสินบนในการดำเนินธุรกิจ แม้ว่ารัฐบาลจะมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันด้วยการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชน แต่ผู้เชี่ยวชาญยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อการดำเนินการตลอดจนการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้เกิดการรับรู้ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา

ส่วนคะแนนลดลง 4 แหล่งข้อมูล ได้แก่

1. แหล่งข้อมูล IMD World Competitiveness Yearbook (IMD)ได้ 39 คะแนน (ปี 2020 ได้ 41 คะแนน) พิจารณาจาก สมรรถนะทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของภาครัฐ ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน

คะแนนที่ลดลง เนื่องจาก จากปัญหาการติดสินบนและการทุจริตที่สั่งสมมา ประกอบกับสถานการณ์โควิด–19 ที่เกิดขึ้น ยังปรากฏผ่านการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนว่า มีการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโควิด–19 อาทิ การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ รวมถึงปัญหาการติดสินบนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการอนุมัติ-อนุญาต และการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการบางราย

ถึงแม้รัฐบาลได้มีการพัฒนา ปรับปรุงกระบวนการอนุมัติ-อนุญาตที่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนมากขึ้น แต่ยังมีการเปิดโอกาสให้ใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ ตลอดจนขาดการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้มีความรู้ความเข้าใจในกฎหมาย และระเบียบต่าง ๆ ที่มีการนำมาใช้ จึงทำให้ผู้ประเมินอาจมองว่าปัญหาดังกล่าวไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา

2. แหล่งข้อมูล The Political and Economic Risk Consultancy (PERC) ได้ 36 คะแนน (ปี 2020 ได้ 38 คะแนน) สำรวจข้อมูลจากนักธุรกิจในท้องถิ่นและนักธุรกิจชาวต่างชาติที่เข้าไปทำธุรกิจในประเทศนั้น ๆ

มุมมองการรับรู้ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาทางการเมืองมากกว่าการสร้างมาตรการอย่างเป็นระบบในการต่อสู้กับปัญหาการทุจริตที่ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากสถานการณ์โควิด–19 ส่งผลต่อการบริหารจัดการของรัฐบาล เศรษฐกิจ สังคม และการดำรงชีวิตของประชาชน อีกทั้งปัญหาในเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ รวมถึงการทุจริตในวงกว้างเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งถูกมองว่าเป็นอุปสรรคในการดำเนินงานของภาคธุรกิจ

3. แหล่งข้อมูล World Economic Forum (WEF) ได้ 42 คะแนน (ปี 2020 ได้ 43 คะแนน) สำรวจความพึงพอใจของนักธุรกิจต่างประเทศและนักธุรกิจภายในประเทศ ว่าการประกอบธุรกิจในประเทศเหล่านั้นมีความสะดวกระดับใด มีปัจจัยใดบ้างที่เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ

มุมมองของนักลงทุนเกี่ยวกับสถานการณ์การทุจริตแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้หน่วยงานภาครัฐจะมีการตื่นตัวในการปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศทางนโยบาย Digital Government รวมทั้งการเปิดเผยข้อมูลสู่ระบบดิจิทัลเพื่อให้เกิดความโปร่งใส แต่ภาพลักษณ์การแข่งขันภายในประเทศ ยังคงถูกมองว่ามีการดำเนินนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มนายทุน หรือบริษัทขนาดใหญ่ให้มีอำนาจควบคุมตลาดในระดับสูง ส่วนภาพรวมของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ยังคงมีปัญหาเกี่ยวกับประเด็นสินบนและการแทรกแซงการดำเนินธุรกิจจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประกอบกับยังปรากฏกรณีที่เป็นข่าวเกี่ยวกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่อย่างต่อเนื่อง

4. แหล่งข้อมูล World Justice Project (WJP) ได้ 35 คะแนน (ปี 2020 ได้ 38 คะแนน) เป็นดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม (Rule of Law)

เนื่องจากการรับรู้ของผู้ประเมินที่มองว่า ถึงแม้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนปฏิบัติตามแนวทางเกี่ยวกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวมแล้วก็ตาม แต่การดำเนินการยังขาดความชัดเจนและต่อเนื่อง ทั้งการกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้อำนาจและดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการใช้อำนาจหน้าที่ตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของส่วนรวม

จากการวิเคราะห์ของ ป.ป.ช. จะพบว่า ประเทศไทยมีปัญหาหลัก ๆ ที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นการติดสินบน-ทุจริตช่วงโควิด-19 หรือการที่รัฐบาลมุ่งแก้ปัญหาทางการเมืองมากกว่าการคอร์รัปชัน รวมทั้งขาดการดำเนินการที่ชัดเจนเห็นเป็นที่ประจักษ์ ทำให้โดยรวมแล้ว สถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลง

โดย TI ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน โดยระบุว่า แม้ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาโควิด-19 แต่รัฐบาลของนานาประเทศยังคงต้องให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพทางสังคม ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างและการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนการสร้างความเข้มแข็งและความเป็นอิสระให้กับหน่วยงานตรวจสอบ รวมถึงการรับมือกับปัญหาการทุจริตข้ามชาติ ทั้งในเรื่องช่องว่างของกฎหมายเพื่อสามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ

นายนิวัติไชยบอกว่า ในส่วนของสำนักงาน ป.ป.ช. ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ยังคงมุ่งมั่นสานต่อและพัฒนาการบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันทุกภารกิจของสำนักงาน ป.ป.ช. ทั้งภารกิจป้องกันการทุจริต ภารกิจปราบปรามการทุจริต และภารกิจตรวจสอบทรัพย์สิน รวมทั้งแสวงหาและสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและภาคประชาชน เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศไทยมีประสิทธิภาพ เกิดสังคมโปร่งใส สุจริตอย่างแท้จริง อันจะส่งผลต่อการยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป

 

ข้อมูลและภาพประกอบจาก ป.ป.ช.

ภาพปกจาก Getty Image

TOP สังคม
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ