ผู้ว่าฯสมุทรสาคร อาการแย่ลง ปอดอักเสบรุนแรง "ลูกสาว" เผยกำลังใจดี แต่ห่วงงาน
ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ถึงความคืบหน้าอาการป่วยของ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรีผู้ว่าราชการสมุทรสาคร หลังตรวจพบว่าปอดมีการอักเสบรุนแรง จากการติดเชื้อโควิด-19
ศ.นพ.ประสิทธิ์ เปิดเผยว่าในช่วงแรกที่นายวีระศักดิ์ เข้ารับการรักษาที่ รพ.ศิริราช การทำงานของปอดและระดับออกซิเจนในเลือดยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ต่อมาพบว่าระดับออกซิเจนในเลือดเริ่มลดลง และเมื่อเอ็กซเรย์ปอด พบภาวะปอดมีอาการอักเสบเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ เพื่อให้ระบบหายใจทำงานดีขึ้น พร้อมกับต้องจัดท่าทางของคนไข้ให้เหมาะสม เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการรักษาในระยะวิกฤต
ตอนนี้อาการของนายวีระศักดิ์ เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น เดิมมีไข้สูงถึง 39 องศาเซลเซียส แต่เริ่มลดลงแล้ว โดยยังต้องใช้ท่อช่วยหายใจ พร้อมกับปรับวิธีรักษาให้เหมาะสม ส่วนการทำงานของระบบทางเดินหายใจ และการทำงานของอวัยวะต่างๆ ยังปกติดี แต่ต้องเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วง 72 ชั่วโมงหลังจากนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายจะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกัน และคนสูงอายุอาจมีปัญหาในการสร้างภูมิคุ้มกันอยู่บ้าง แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเชื่อว่าจะค่อยๆ ดีขึ้น
ส่วนข้อกังวลเรื่องโรคประจำตัวของนายวีระศักดิ์ จะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการรักษาหรือไม่ เรื่องนี้ ศ.นพ.ประสิทธิ์ ระบุว่าตอนนี้โรคประจำตัวต่างๆ ของนายวีระศักดิ์ ยังควบคุมได้ดีอยู่ และไม่มีผลต่อการรักษา แต่ยอมรับว่าโรคประจำตัวและช่วงอายุเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการรักษาโควิด-19
ส่วนอาการของนายวีระศักดิ์ จัดอยู่ในกลุ่ม 5 เปอร์เซ็นต์ ที่มีอาการรุนแรง หรือไม่ นพ.ประสิทธิ์ อธิบายว่าคนที่เป็นผู้ป่วยโควิด-19 80 เปอร์เซ็นต์ จะไม่แสดงอาการ หรือ แสดงอาการน้อย และอีก 20% คือกลุ่มที่มีอาการมากกว่าคนทั่วไป และในจำนวนนี้ 5 เปอร์เซ็นต์ เป็นกลุ่มที่มีอาการหนักมาก แต่อาการของนายวีระศักดิ์ ตอนนี้จัดอยู่ในกลุ่ม 20 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่ถึงขั้นสุดท้ายของกลุ่มที่มีอาการหนัก และต่อจากนี้จะมีการแถลงความคืบหน้าการรักษาและอาการให้ทราบทุกวัน
ขณะที่ลูกสาวนายวีระศักดิ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เล่าว่าขณะนี้อาการป่วยของพ่อ โดยรวมปกติดี และยังมีกำลังใจดีอยู่ แต่แพทย์ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดอย่างน้อยอีก 2 สัปดาห์ถึงจะวางใจได้ นอกจากนี้ลูกสาวนายวีระศักดิ์ ยังบอกว่าเธอได้เขียนโน๊ตข้อความ เล่าให้พ่อฟังว่า ทุกคนฝากกำลังใจมาให้ (พ่อไม่มีโทรศัพท์อยู่กับตัวนะคะ) และเชื่อว่าหากพ่อได้อ่าน คงจะมีกำลังใจมากขึ้นเช่นกัน เพราะตอนนี้แพทย์ยังไม่อนุญาตให้ญาติเข้าไปเยี่ยมด้านใน พร้อมกับขอขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงและให้กำลังใจ โดยขอให้เชื่อใจแพทย์และพยาบาล