หมอจิตเด็ก เผย 9 วิธี เลี้ยงลูกผิดจนเป็นเหตุให้ "เด็กติดเกม"


โดย PPTV Online

เผยแพร่




จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เผยปัญหาเด็กติดเกม ติดมือถือ และติดสื่อออนไลน์สูง จนทำให้งานล้นมือ โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะพ่อแม่เลี้ยงดูลูกผิดวิธี

ด้วยยุคปัจจุบันที่พ่อแม่หลายคนไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับลูก เพราะต้องทำงานแม้จะเป็นการทำงาน work from home ก็แทบหาเวลาให้ลูกไม่ได้เลย งานนี้จึงหันไปพึ่งจอโทรทัศน์ จอมือถือ จอคอมพิวเตอร์ เป็นพี่เลี้ยงแทนไปก่อน แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งทำให้เด็กมีปัญหาด้านอารมณ์และพฤติกรรม อาทิ ลูกติดมือถือ ติดสื่อสังคมออนไลน์ และติดเกม  ที่รุนแรงขึ้นจนต้องพาลูกไปพบหมอจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นกันเป็นแถว  

จิตแพทย์เผยเล่นเกมหนัก ไม่ใช่สาเหตุเสียชีวิตโดยตรง  

จิตแพทย์แนะ 4 วิธี ให้พ่อแม่ดูแลเด็กเรื่องการรับสื่อ ป้องกันการเลียนแบบพฤติกรรมไม่เหมาะสม

เนื่องจากลูกมีแนวโน้ม เป็นโรคสมาธิสั้น (โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย) รศ.นพ.ชาญวิทย์ พรนภดล จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และเจ้าของเพจ สมาธิสั้น แล้วไง ระบุว่า กลุ่มนี้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกว่าเด็กปกติทั่วไปที่จะติดเกม เพราะเด็กกลุ่มนี้ชอบความสนุก ตื่นเต้น ท้าทาย แต่มักจะขาดวินัยและควบคุมตัวเองไม่ได้ และเมื่อติดเกมแล้วอาการสมาธิสั้นจะยิ่งแย่ลง มีอารมณ์หงุดหงิด ดื้อ ต่อต้านมากขึ้น 

ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยแนะนำวิธีการเลี้ยงลูกแบบไม่ติดเกมไปแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล จึงมาแนะนำ 9 วิธีเลี้ยงลูกแบบผิดจนเป็นเหตุให้ "เด็กติดเกม"

1. อนุญาตให้เด็กเป็นเจ้าของมือถือและสามารถเก็บมือถือไว้เอง
การซื้อมือถือให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก แล้วบอกว่าพ่อแม่ซื้อให้เป็นของของเค้า เค้าสามารถเก็บไว้กับตัวเอง เอาติดตัวไปไหนมาไหนได้ตลอดเวลา เป็นความพลาดข้อแรกของหลายบ้าน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วพ่อแม่อยากจะยึด หรืออยากจะไปยุ่งกับมือถือ"ของลูก" คิดเหรอว่าเด็กจะยอมง่ายๆ เมื่อมันเป็น"ของลูก"
    สิ่งที่ควรพูด: "มือถืออันนี้เป็นของแม่ แม่ให้หนู-ยืม-ใช้เป็นครั้งคราว การที่แม่จะให้หนูยืมหรือไม่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของหนู และแม่จะเป็นคนอนุญาตเองว่าหนูจะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้"

2.ไม่มีการตกลงกติกา
การปล่อยให้ลูกเล่นเกมบนมือถือเมื่อไหร่ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ นานแค่ไหนก็ได้อย่างอิสระ เป็นความพลาดที่พบได้บ่อยมากอย่างไม่น่าเชื่อ
     สิ่งที่ควรทำ: พ่อแม่จำเป็นต้องมีการสร้างกติการ่วมกันกับลูกก่อนเสมอว่า ลูกสามารถเล่นเกมได้วันไหนบ้าง เวลาไหนบ้าง เล่นได้ครั้งละไม่เกินกี่นาที ตั้งแต่เวลาไหนถึงเวลาไหน   ก่อนจะเล่นได้ต้องรับผิดชอบทำอะไรบ้างให้เสร็จก่อน หากละเมิดกติกาจะต้องถูกทำโทษอย่างไร ตรงไหนบ้างที่ถูกกำหนดให้เป็น"พื้นที่ปลอดมือถือ" (เช่น ห้องนอน โต๊ะทำการบ้าน โต๊ะอาหาร เวลาเดินอยู่ริมถนน ฯลฯ)

3.ใช้เกมเป็นเสมือนพี่เลี้ยงเด็กแทนตัวพ่อแม่
"ไม่มีเวลา" เป็นคำตอบที่พ่อแม่ที่มีลูกติดเกมมักบอกกับหมอ หากพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก รอจนพวกเค้าติดงอมแงมแล้ว ลูกๆ ก็จะ"ไม่มีเวลา"ให้กับพ่อแม่เป็นการตอบแทนเช่นกัน
    สิ่งที่ควรทำ: หมอรู้ว่าพ่อแม่ทุกคนรู้ว่าต้องทำยังไง แต่จะทำได้รึเปล่าหละ อยู่ที่พ่อแม่จะตัดสินใจเลือกอะไรระหว่าง...(เติมคำในช่องว่าง)...กับลูก

4. ละเลยการทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว
หลายครอบครัวที่มีลูกติดเกม หมอพบว่ามักจะเป็นครอบครัวที่พ่อ แม่ ลูก อยู่กันคนละทิศละทาง ต่างคนต่างอยู่ แต่ละคนง่วนอยู่กับสิ่งที่ตัวเองสนใจ ไม่ค่อยได้มีการทำกิจกรรมสนุกสนานด้วยกัน 
    สิ่งที่ควรทำ: พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ลูกมีกิจกรรมทำยามว่าง เป็นกิจกรรมที่ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินไม่แพ้การเล่นเกม หรือมากกว่าการเล่นเกม ซึ่งควรเป็นกิจกรรมที่ลูกชอบ และสามารถร่วมกันทำกิจกรรมนั้นๆ ได้ทั้งครอบครัวเพื่อเป็นการสานความสัมพันธ์อันดีระหว่างพ่อแม่กับลูก หมอแนะนำเกมกระดาน (Board Game) ซึ่งในปัจจุบันมีมากมายหลายเกม ไม่ใช่มีแต่เกมเศรษฐี และแต่ละเกมก็สนุกมากๆ รับรองเลยว่าหากพ่อแม่ได้เล่นกับลูกบ่อยๆ ลูกอาจจะไม่สนใจที่จะเล่นเกมมือถือเลยก็ได้ ช่วงที่ลูกหมออยู่ในวัยเสี่ยงที่จะติดเกม หมอก็ได้เกมกระดานนี่แหละเป็นตัวช่วยให้ผ่านจุดนั้นมาได้

5. กลัวอารมณ์ลูกไม่อยากขัดใจลูก
พ่อแม่หลายคนอาจรู้สึกไม่ดีเวลาที่ต้องขัดใจลูก ไม่อยากให้ลูกเสียใจ หลายคนอาจรู้สึกผิดเพราะคิดว่าตนเองไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูกจึงอยากชดเชยด้วยการยอมให้เล่นเกม บางคนเวลาเห็นลูกกรี๊ด กรีดร้องเวลาไม่ได้เล่นเกม ก็ตกใจ ลนลานทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะจัดการยังไง สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการยอมลูก เพียงเพื่อให้ลูกหยุดร้อง
     สิ่งที่ควรทำ: ทบทวนอารมณ์ของพ่อแม่ว่ารู้สึกอย่างไรเวลาลูกกรี๊ด หาคำตอบให้ได้ว่าทำไมถึงต้องกลัวอารมณ์ลูก ถามและตอบตัวเองให้ได้ว่า อยากให้ลูกเสียน้ำตาในวันนี้หรือเสียอนาคตในวันหน้า

6. ขัดแย้งกันเองระหว่างผู้ปกครองในการจัดการกับพฤติกรรมเด็ก
เมื่อลูกขอเล่นเกม แม่อาจจะไม่ให้ แต่พ่ออาจตามใจ เวลาเกิดความขัดแย้งกันอย่างนี้ เด็กๆก็มักเลือกเข้าข้างฝ่ายที่ให้ประโยชน์กับเค้ามากที่สุด ซึ่งอาจพัฒนากลายเป็นปัญหาความสัมพันธ์ได้ เช่น เค้าอาจรู้สึกว่าแม่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเค้า เป็นศัตรูกับเค้าไปเลย ต่อไปแม่จะพูดจะว่าอะไรเด็กก็จะไม่ฟัง แล้วก็วิ่งไปหาพ่อ หลายบ้านพ่อแม่อาจอยู่ข้างเดียวกัน แต่เด็กมีฝ่ายสนับสนุนที่แข็งแกร่ง อย่างเช่น ปู่ย่าตายาย
    สิ่งที่ควรทำ: เคลียร์กันให้ดีๆ สื่อสารกันแบบสร้างสรรค์ ตกลงกันให้ได้ว่าอะไรคือกฎของบ้าน ซึ่งควรเป็นกฎเดียว

7. ได้แต่บ่นแต่ไม่เคยเอาจริง 
เวลาที่ลูกเล่นเกมเกินเวลา สิ่งที่พ่อแม่มักจะทำเสมอแต่เป็นวิธีที่ไม่เคยได้ผล คือ การดีแต่บ่น เช่น “เล่นนานไปแล้ว” “เลิกได้แล้วนะ” “เมื่อไหร่จะเลิกซักที” "หนังสือหนังหาทำไมไม่รู้จักอ่านบ้าง" การพูดบ่อยๆ นอกจากจะไม่เคยได้ผลแล้ว ยังทำให้ลูกเกิดความรู้สึกว่า “บ่นอีกแล้ว...รำคาญ” ถ้าเกิดขึ้นบ่อยๆ จะทำให้ลูกไม่อยากคุยด้วยและไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่ เพราะคิดว่าจะต้องโดนดุ โดนบ่น พ่อแม่เองก็อาจไม่พอใจลูก และนำไปสู่การทะเลาะกัน
    สิ่งที่ควรทำ: พูดให้น้อยลง ฝึกทำเสียงที่เด็กฟังแล้วรู้ว่าเรากำลังเอาจริง แต่ไม่ใช่เสียงที่ใช้อารมณ์ การลงโทษจริงจังตามกติกาที่ตกลงกันไว้เป็นวิธีที่ได้ผลดีกว่าการบ่นอย่างเดียวแน่นอน

8.ใจอ่อนเวลาเด็กต่อรอง
ธรรมชาติของเด็กมักจะชอบต่อรองกับพ่อแม่เสมอเมื่อหมดเวลาเล่น โดยมักจะพูดว่า “แป๊บนึง...ขออีก 10 นาที จะจบเกมแล้ว” ไปๆ มาๆ 10 นาทีที่ว่าก็อาจลากยาวเป็นครึ่งชั่วโมง หรือหลายชั่วโมงเลยก็เป็นได้ ซึ่งพอต่อรองได้ครั้งหนึ่งก็มักจะมีครั้งต่อๆ ไป เพราะเด็กเค้ารู้ว่าพ่อแม่มักจะใจอ่อน การใจอ่อนอย่างนี้ไม่ได้มีผลเสียกับเรื่องเล่นเกมเท่านั้นนะครับ แต่จะมีผลต่อกฎเกณฑ์ทุกอย่างในบ้าน ถ้าลูกรู้ว่าพ่อแม่มักจะใจอ่อน มันก็จะเป็นเรื่องยากที่เค้าจะทำตามกฎกติกาที่วางไว้ เพราะคิดว่าเดี๋ยวค่อยต่อรองเอาทีหลังได้ ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อการรักษาระเบียบวินัยในตัวเองของเค้าในระยะยาว 
    สิ่งที่ควรพูด: "แม่เข้าใจว่าหนูกำลังสนุกกับเกม แม่ให้หนูเลือกว่าจะเลิกเล่นเกมตอนนี้ หรือจะยืมเวลาเล่นเกมของวันพรุ่งนี้มาใช้"

กรมสุขภาพจิตแนะ “พฤติกรรมรุนแรง” พบเร็วตั้งแต่เด็กแก้ไขได้ทัน

โรคติดเกมอาการทางจิตเวช ป้องกันได้ 3 วิธี

9. ตามเทคโนโลยีไม่ทัน 
ละเลยในการแสวงหาและศึกษาแอปพลิเคชันสำหรับควบคุมการใช้งานออนไลน์ของลูก ไม่รู้วิธีตั้งค่าบนมือถือเพื่อติดตามและควบคุมการใช้งานเกินพอดีของลูก
    สิ่งที่ควรทำ: ศึกษาวิธีใช้ function เวลาหน้าจอ (Screen Time) สำหรับผู้ใช้ IOS12 ขึ้นไป หรือวิธีติดตั้งแอป Google Family Link สำหรับผู้ใช้ Android ในการทำข้อตกลงกับลูกๆพ่อแม่ควรใช้ Family Media Plan จาก healthychildren.org เป็นตัวช่วย https://www.healthychildren.org/.../media/Pages/default.aspx

 

ที่มา
รศ.นพ.ชาญวิทย์ พรนภดล จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และเจ้าของเพจ สมาธิสั้น แล้วไง

TOP สุขภาพ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ