เฉลยข้อเท็จจริง กินของมันมากๆ ดื่มชาร้อนก็ไม่ช่วยขับไขมัน


โดย PPTV Online

เผยแพร่




อย่างที่เคยได้ยินผู้ใหญ่พูดว่า ถ้ากินของมันแล้วให้ซดชาร้อนเข้าไปเพื่อช่วยขับไขมัน แต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง

เมื่อพูดถึง ชา ปัจจุบันมี ชามากมายให้เราได้ลิ้มรสไม่ว่าจะเป็น ชาเขียว ชาดำ ชาขาว ชาอู่หลง ชาจีน หรือว่าชาสมุนไพรต่างๆด้วยความหอม และรสชาติ ของชาแต่ละชนิดที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงขั้นตอนในการรับประทานชา ที่ต้องใช้อุณหภูมิความร้อนที่แตกต่างกัน หรือน้ำที่ใช้ชงก็มีผลกับน้ำชาที่ดื่ม จึงส่งผลให้มันกลายเป็นเครื่องดื่มที่มีผู้บริโภคมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากน้ำ

เตือนดื่ม “ชานมไข่มุก”บ่อย เสี่ยงโรคอ้วน-เบาหวาน-หัวใจ

กรมอนามัย หนุนคนไทยกินไข่วันละฟอง ดื่มนมวันละแก้ว เสริมโปรตีน-แคลเซียม

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ จากความนิยมรับประทานชา บางครั้งก็เกิดความเชื่อที่สืบทอดต่อกันมามากมาย อาทิ พิธีการชงชา หรือประเพณีการรับประทานชา รวมไปถึง แนวความคิดเรื่องการับประทานชาเพื่อขับไขมัน 

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การรับประทานชา ไม่ได้ช่วยขับไขมันแต่อย่างใด เนื่องจากระบวนการของร่างกาย เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ก็จะมีการย่อย ดูดซึม และขับออก อยู่แล้ว ดังนั้นการกินชาไม่สามารถล้างไขมันจากอาหารที่เรากินมันก็ไปได้

ในขณะที่บางคน เชื่อว่า การกินชาร้อนๆ จะช่วยล้างไขมันได้ แต่ความจริงคือ ไม่สามารถทำได้ เพราะว่าร่างกายของเรามีกลไกในการปรับอุณหภูมิ เมื่ออาหารเข้าสู่ร่างกายของเราไม่ว่าจะเป็นอาหารเย็น หรืออาหารร้อน ร่างการก็จะปรับอุณหภูมิที่เหมาะสม ดังนั้นการกินชาร้อนก็ไม่ได้ช่วยล้างไขมันในร่างกาย

ข้อมูลเกี่ยวกับชาที่ถูกนำเสนอมาก นั่นก็คือ การกินชาจะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญและลดน้ำหนักได้

สำหรับข้อแนะนำในการดื่มชา 
1. เราควรดื่มชาในปริมาณที่เหมาะสม โดยถ้าคิดในเรื่องของปริมาณกาเฟอีนที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะว่าตัวช้าเนี่ยก็ยังจะมีสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ในเรื่องของสารคาเทชินก็จะช่วยในเรื่องของการป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน  หรือว่าในแง่ของการแก้เลี่ยนตัวคาเทชิน ก็จะกระตุ้นการหลั่งของน้ำลาย ซึ่งก็จะช่วยให้เราแก้เลี่ยนจากการรับประทานอาหารมันๆ ได้

ป้องกัน “โรคหัวใจ” ด้วย “เครื่องแกงและน้ำพริก

2. เราไม่ควรดื่มชาใกล้เคียงกับเวลานอน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหาการนอนหลังเพราะว่าตัวชาจะมีคาเฟอีน ซึ่งฤทธิของคาเฟอีนจะอยู่ในเลือดของเราประมาณ 6 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าเราจะนอนตอน 3 ทุ่ม หลัง บ่าย 3  เราไม่ควรจะดื่มชาเพื่อไม่ให้ตัวฤทธิของคาเฟอีนในชาขัดขวางการนอนหลับ

ที่มาข้อมูล

- ดร.วนะพร ทองโฉม  นักวิชาการโภชนาการ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

TOP สุขภาพ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ