โดยปัจจัยที่อาจารย์วสันต์ หยิบขึ้นมาเปรียบเทียบให้มองเห็นสถานการณ์โควิดของไทย และยุโรปมีความใกล้เคียงกันคือ ทั้ง 2 ที่ มีเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาครอบครองพื้นที่อยู่แล้ว ปัจจัยการฉีดวัคซีนครอบคลุมจำนวนประชากรที่ใกล้เคียงกัน และมีมาตรการป้องกัน เช่น การใส่หน้ากากอนามัย และการเว้นระยะห่าง
นั่นหมายความว่า ในยุโรปที่ขณะนี้เริ่มพบผู้ติดเชื้อโควิดโอไมครอนแล้ว หากพบการระบาด ก็จะทำให้ไทยสามารถคาดเดาสถานการณ์การระบาดในอนาคตได้ แทนที่จะไปติดตามการแพร่ระบาดในพื้นที่ของแอฟริกาใต้
ดร.วสันต์ ประเมิน"โอไมครอน"ไม่ต้องล็อกดาวน์
ซึ่งอาจจะไม่ใช่สมรภูมิที่จะน่าจะเอามาวิเคราะห์มากนัก เพราะแอฟริกาใต้อัตราการฉีดวัคซีนค่อนข้างต่ำ
โดยในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า หรือ 1 -3 เดือนถัดจากนี้ ต้องดูว่าเชื้อโควิดโอไมครอนจะสามารถแย่งชิงพื้นที่การเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในพื้นที่ยุโรปได้หรือไม่ หากเข้าไปไม่ได้ ไทยก็แทบไม่มีโอกาสที่จะระบาดแบบนั้นเช่นกัน มาตรการสกัดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนของอังกฤษ
ไปดูที่ประเทศอังกฤษ เริ่มบังคับใช้มาตรการแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (30 พ.ย.) โดยกลับมาบังคับประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในร้านค้า หรือใช้บริการขนส่งสาธารณะ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ยืนยันว่าไม่น่าจำเป็นต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ
สำหรับมาตรการควบคุมด้านพรมแดน อังกฤษได้ประกาศห้ามผู้ที่เดินทางจาก 10 ประเทศในแอฟริกาตอนใต้เข้าประเทศ ยกเว้นพลเมืองสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ ที่เดินทางเข้าได้ แต่ต้องกักตัวในโรงแรมที่จัดไว้ เป็นเวลา 10 วัน
ขณะที่ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอื่นๆ ต้องตรวจหาเชื้อแบบ PCR ภายในวันที่สอง หลังจากมาถึง และกักตัวเองจนกว่าจะทราบว่าผลตรวจเป็นลบ
ส่วนผู้สัมผัสใกล้ชิดเคสที่ต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอน จะต้องกักตัวเองทุกกรณี โดยไม่คำนึงถึงอายุหรือสถานะการฉีดวัคซีน
ขณะเดียวกัน อังกฤษได้ขยายการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ครอบคลุมประชากรกลุ่มอายุ 18 – 39 ปี เพื่อรับมือกับเชื้อสายพันธุ์ใหม่ โดยตั้งเป้าว่าประชากรวัยผู้ใหญ่ทุกคนจะต้องได้รับวัคซีนเข็ม 3 ภายในเดือนมกราคมปีหน้า
ทั้งนี้ อังกฤษตรวจพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนแล้ว 32 คน