การซื้อขายทองคำในประเทศ อาจจะแบ่งง่าย ๆ เป็น 2 ตลาดหลัก ๆ คือ ทองคำแท่ง กับ ทองรูปพรรณ โดยอย่างแรกมักจะมีการซื้อขายเพื่อ "การลงทุน" ซึ่งผู้ที่ซื้อทองคำในกลุ่มนี้มักจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวราคาทองคำในแต่ละวันเป็นอย่างดี หรือ อย่างน้อยก็ดีกว่าผูที่ซื้อขายทองคำรูปพรรณ ซึ่งเป็นอีกตลาดในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ โดยแรงจูงใจจากการซื้อซื้อมีหลากหลาย ทั้งเพื่อการลงทุน ค่านิยม เป็นของขวัญ เครื่องประดับเพื่อความสวยงามและแสดงฐานะ เป็นต้น
ราคาทองวันนี้ "แปลก ๆ" สมาคมไม่ยอมประกาศช่วงบ่าย ทั้ง ๆที่น่าจะลดลง
ราคาทองวันนี้ ปิดบวก 100 บาท "ต่างประเทศขยับ-บาทอ่อน"เล็กน้อย
ราคาทองคำที่จำหน่ายในประเทศไทย มีการปรับราคาขึ้น-ลง ตั้งแต่ช่วงเช้าราว ๆ 09.30 น. ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ จากนั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างวัน ซึ่งบางวันปรับดุเดือดกันนับ 10 ครั้ง แต่สมาคมฯจะประกาศราคาตั้งแต่วันจันทร์-เสาร์ โดยเฉพสะวันเสาร์จะมีการประกาศครั้งเดียวในช่วงเช้า และเป็นราคาซื้อขายในช่วงเสาร์-อาทิตย์
หลายคนอาจสงสัยว่าบรรดาร้านทองเอาเปรียบหรือไม่ ในการซื้อขายทองคำในแต่ละวัน แต่คนทั่วไปมักจะไม่รู้ว่าการกำหนดราคาขึ้น-ลงในแต่ละวัน มีกฏกติกามารยาทกำหนดไว้ โดยจะมี "สูตรการคำนวณราคาทองในประเทศ" ซึ่งมี "ตัวแปร"ที่ใช้ในการคำนวณ "กำกับ"เอาไว้ ดังนี้
ราคาทองไทย = (Spot Gold + Premium) x 32.148 x ค่าเงินบาท x (.965 /65.6)
หากสรุปออกเป็นสูตรคำนวณด้านบนให้เข้าใจง่าย จะได้ ดังนี้
ราคาทองไทย = (Spot Gold + 2 ) x ค่าเงินบาท x 0.473
ทั้งนี้ ตัวเลข 0 .473 ได้มาจาก 32.148 x (.965/65.6) จะเท่ากับ 0.4729 และปัดทศนิยมเป็น 3 หลักจะได้ 0.473
สำหรับค่าต่าง ๆ ในสูตรข้างต้น มีดังนี้
- premium คือ ต้นทุนในการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศ จะมีค่าอยู่ระหว่าง 1-2 เหรียญ ไม่เกินนี้ ปัจจุบันเหมือนว่าค่า premium จะถูกปรับให้เป็น 2เหรียญ
- 32.148 คือ น้ำหนักของทองคำ 1 กิโลกรัม เมื่อเทียบเป็นออนซ์ ซึ่งเป็นทองคำต่างประเทศชนิด 99.99%
- 0.965 คือ ทองคำในประเทศชนิด 96.5% คิดจาก 96.5/100
- 65.6 คือ น้ำหนักของทองคำชนิด 96.5% 1 กิโลกรัมเมื่อเทียบกับน้ำหนัก 1 บาท
ดังนั้น จะเห็นไดว่าราคาทองคำในประเทศ จะมีตัวแปรสำคัญคือ ราคาทองในตลาดสปอตต่างประเทศ (Spot Gold) เป็นราคาที่ซื้อขายในขณะนั้น ไม่ใช่ราคาทองคำฟิวเจอร์ และ ค่าเงินบาท ซึ่งการขึ้นลงของราคาทองในปต่ละวัน จึงขึ้นกับราคาทองคำในตลาดสปอตและค่าเงินบาท
ในบางประเทศ บรรดาร้านทองสามารถลดราคาลงได้ จากการลดค่า "Premium" แต่ในประเทศไทย ยังไม่เห็นว่าจะมีการปรับลดในส่วนนี้
สำหรับ "ทองรูปพรรณ" จะมีราคาที่ผู้ซื้อ-ขาย "ต้องจ่าย" เรียกว่า "ค่ากำเหน็จ" ซึ่ง "กำเหน็จ" ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง "ค่าจ้างทำเครื่องเงินหรือทองรูปพรรณ"
ดังนั้น หากใครซื้อทองรุปพรรณ ก็ต้องจ่ายในส่วนนี้ให้ร้านทอง โดยมากร้านทองที่ขาย "สร้อยคอทองคำ" หรือ "แหวนทองคำ" ตามหน้าร้านก็จะคิดราคาบวกเพิ่มเข้าไป ซึ่งจะคิดจากต้นทุนต่าง ๆ บวกเข้าไปด้วย
แต่ก็ใช่ว่าเสียค่ากำเหน็จจากการซื้ออย่างเดียว หากไปขายคืนก็เสียด้วยเช่นกัน แต่อาจจะไม่มากเท่ากับขาซื้อ
ส่วนอัตราค่ากำเหน็จจะเป็นเท่าไรนั้น ขึ้นกับแต่ละร้าน และความยากง่ายในการสั่ง "ทำทองรูปพรรณ" แต่โดยมากแล้ว การไปสั่งทำต่างหากจากที่มีรูปแบบมากกว่าหน้าร้านจะมีราคาแพงกว่า
ดังนั้น การซื้อทองคำต้องดูดี ๆ โดยเฉพาะราคาเคลื่อนไหวขึ้น-ลงแต่ละวัน โดยดูง่าย ๆ จากราคาในต่างประเทศและค่าเงินบาทในระหว่างวัน โดยจำไว้ว่า หากราคาในต่างประเทศขยับขึ้น ทองในประเทศก็มักจะขึ้นตาม แต่ก็มีบางช่วงบางเวลา แม้ว่าราคาต่างประเทศจะลง แต่เป็นช่วงจังหวัดที่ค่าเงินบาทอ่อน ราคาทองก็อาจจะขึ้นก็ได้
จำไว้ว่า "ราคาทองในประเทศวิ่งไปทางเดียวกันกับต่างประเทศ แต่วิ่งสวนทางกับค่าเงินบาท (หากค่าเงินบาทแข็ง ทองในประเทศจะถูก)"
แต่ก็มีบางกรณีเหมือนกัน ที่ราคาทองในประเทศไม่ปรับตาม หรือ น่าสงสัย ในช่วงเวลานั้น พึงสงสัยไว้ก่อนว่ามีสาเหตุมาจากความผิดพลาด หรือบรรดาผู้ค้าทองคาดการณ์ผิดพลาด ทำให้ยังราคาเดิม เพราะถ้าขายในราคา "ตามสูตร"ก็จะพากันขาดทุนเท่านั้นเอง!