สมาคมธนาคารไทย ออกมาตรการชะลอขึ้นดอกเบี้ยช่วยกลุ่มเปราะบาง


โดย PPTV Online

เผยแพร่




สมาคมธนาคารไทย จะมีการดูแลด้านการปรับดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อชะลอผลกระทบในกลุ่มเปราะบาง ขณะที่รายใหญ่สามารถสะท้อนต้นทุนที่เป็นจริงได้ก่อน

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ภายหลังที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 0.5% เป็น 0.75% ต่อปี โดยมีผลทันที วันที่ 10 สิงหาคม 2565 สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิกห่วงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน จึงมีมาตรการดูแลให้ความช่วยเหลือลูกค้าโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ซึ่งประกอบไปด้วย ลูกค้ารายย่อย และ ลูกค้าเอสเอ็มอี ที่ยังไม่ฟื้นกลับมาสู่ภาวะปกติจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 

กนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด ประเมินเศรษฐกิจเท่าก่อนโควิดสิ้นปีนี้

ธอส. ตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ถึงสิ้นปี 2565 หลัง กนง. ขึ้นดอกเบี้ย

"กลุ่มลูกหนี้ใหม่กระทบ"กนง.ประกาศ ขึ้นดอกเบี้ย 0.25%

 

 

 

"ตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ให้แนวทางการปรับนโยบายการเงินของไทยเข้าสู่ภาวะปกติในรูปแบบ Smooth Takeoff โดยนโยบายดอกเบี้ยจะปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป ควบคู่ไปกับการดูแลลูกค้ารายย่อยและ SME โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่รายได้ยังไม่กลับมาสู่ภาวะปกติ การให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้  ให้ความสำคัญกับการดูแลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อชะลอผลกระทบกับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง"

สมาคมธนาคารไทย แถลงด่วนหลัง กนง. มีมติขึ้นดอกเบี้ย 0.25%

ดังนั้น ในกลุ่มเปราะบางจะมีการดูแลด้านการปรับดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อชะลอผลกระทบในกลุ่มดังกล่าว ที่อยู่ระหว่างการปรับตัวให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด  เพื่อให้สามารถมีรายได้สมดุลกับรายจ่ายมากขึ้น 

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับความเหมาะสมทั้งฝั่งของลูกค้าเงินฝากและเงินกู้ จังหวะ และขนาดของการปรับขึ้นดอกเบี้ย เพื่อลดแรงกดดันของเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ไม่ให้เกิดการสะดุดของการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการ และ ภาคประชาชน 

ส่วน ลูกค้ารายใหญ่ ที่มีความยืดหยุ่นสามารถสะท้อนต้นทุนที่เป็นจริงได้ก่อน  ส่วนลูกค้ารายย่อยส่วนใหญ่ได้รับอัตราดอกเบี้ยคงที่ ทั้งสินเชื่อ เช่าซื้อ บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัย แม้จะใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว แต่ค่างวดผ่อนชำระต่อเดือนคงที่ จึงได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่มากนัก

ขณะที่ ยังมีมาตรการแก้หนี้ระยะยาวผ่านมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างตรงจุดให้กับผู้ประกอบธุรกิจและประชาชน เพื่อไม่ให้กลายเป็นหนี้เสียซึ่งมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ถึงสิ้นปี 2566 ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นชัดเจน 

อย่างไรก็ตาม สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก จะติดตามสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างใกล้ชิด พร้อมกับการดูแลคุณภาพสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหน้าผาเอ็นพีแอล (NPLs Cliff)  ซึ่งจะกลายเป็นความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจไทย  เพราะแม้สถานการณ์ลูกค้าโดยรวมดีขึ้น จากช่วงที่วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบรุนแรง แต่มีกลุ่มที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ต้องได้รับความช่วยเหลือภายใต้มาตรการจำนวนมาก 

สำหรับ ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ไทยมีความแข็งแกร่ง แต่เมื่อเทียบกับธนาคารในภูมิภาค ธนาคารพาณิชย์ไทยยังเผชิญความท้าทายในด้านการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับต่ำกว่า และฟื้นตัวช้ากว่าในภูมิภาค ดังนั้น การรักษาระดับความแข็งแกร่งและสร้างความเชื่อมั่นในระบบธนาคารพาณิชย์ จึงมีความสำคัญเพื่อให้ระบบธนาคารสามารถดูแลลูกค้ากลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่อยู่ระหว่างการปรับตัว ผู้ประกอบการรายเล็กและรายย่อย รวมถึงหนี้ภาคครัวเรือนได้ ที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของลูกค้าและเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ 

นายผยง กล่าวว่า ภาคธนาคารเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ การที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง จำเป็นต้องอาศัยการขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วน  โดยภาคการท่องเที่ยวและมาตรการภาครัฐจะเป็นแรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจไทย ในช่วงที่เหลือของปีการท่องเที่ยวฟื้นตัวชัดเจนขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องหลังยกเลิกมาตรการ Thailand Pass การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี อีกทั้ง ยังมีแรงหนุนกำลังซื้อจากมาตรการภาครัฐและภาคเอกชน  ช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องได้ 

อนึ่ง ที่ผ่านมา สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง  ทั้งมาตรการทั่วไป เพื่อให้ความช่วยเหลือเร่งด่วน และมาตรการเฉพาะ เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด โดยในเดือนกรกฎาคม 2563  มีลูกค้าเข้าร่วมมาตรการสูงถึง  6.1 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้รวม  4.2 ล้านล้านบาท หลังสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น ล่าสุด ณ เดือนพฤษภาคม 2565 ลูกค้าภายใต้มาตรการลดลงเหลือ 1.6 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้เกือบ 2 ล้านล้านบาท 

อีกทั้ง มีการเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ SME ผ่านสินเชื่อฟื้นฟูและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) จำนวน 3.2 แสนล้านบาท ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของระบบไม่สูงขึ้นมาก และคุณภาพสินเชื่อมีแนวโน้มดีขึ้น สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวชัดเจน อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวเศรษฐกิจในปัจจุบัน เป็นการฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง ในรูปแบบ  The New K-shaped Economy และมีปัจจัยความท้าทายรอบด้าน จากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น  กระทบกับค่าครองชีพและต้นทุนของภาคธุรกิจ อาจทำให้ลูกค้าบางกลุ่มกลับเข้ามาใช้มาตรการอีกครั้ง

ราคาทองวันนี้ ขึ้น 100 บาท จากเงินบาทอ่อนค่า ขณะโกลด์แมนแซคส์หั่นเป้า

TOP หุ้น การลงทุน
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ