แบงก์ชาติสวิส แถลงพร้อมอุ้ม “เครดิต สวิส” หลังหุ้นดิ่งวันเดียว 24%
ธนาคาร SVB เปิดบริการตามปกติหลัง FDIC เข้าดูแล ลูกค้าแห่ถอนเงิน
“เครดิต สวิส” (Credit Suisse) ธนาคารยักใหญ่อันดับ 2 ในสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศเตรียมกู้ยืมเงินราว 53,680 ล้านดอลลลาร์ หรือราว 1,850 ล้านล้านบาท จากธนาคารแห่งชาติสวิส ซึ่งจะครอบคลุมสภาพคล่องในระยะสั้น
ทั้งนี้ ธนาคารเครดิต สวิส เตรียมทำคำเสนอซื้อตราสารหนี้ไม่ด้อยสิทธิสกุลเงินดอลลาร์ รวมมูลค่า 2,500 ล้านดอลลาร์ และตราสารหนี้ไม่ด้อยสิทธิในสกุลเงินยูโร รวมมูลค่า 2,500 ล้านยูโร
โดยเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังเมื่อคืนที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ เครดิต สวิส ร่วงลงกว่า 24 % ในวันเดียว หลังผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ธนาคารแห่งชาติซาอุฯ ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือทางการเงินกับ “เครดิต สวิส” ที่กำลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง
ล่าสุด นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า หาก เครดิต สวิส มีปัญหา ธนาคารกลางสวิสจะจัดให้ ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะว่า เครดิต สวิส เป็นธนาคารที่สำคัญกว่า ซิลิคอน แวลลีย์ แบงก์ (Silicon Valley Bank) มาก มีขนาดสินทรัพย์ประมาณ 600,000 ล้านดอลลาร์
โดยเป็นธนาคารขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสวิส มีอายุ 167 ปี ฝังรากลึก มีโครงข่ายเชื่อมโยงกับธนาคารต่าง ๆ ในยุโรป และสหรัฐอเมริกาอย่างลึกซึ้ง จึงใหญ่เกินไปที่จะปล่อยให้ล้ม เพียงผลจากเมื่อคืนนี้แค่ความกังวลใจ ก็ทำให้หุ้นธนาคารอื่น ๆ ในยุโรปก็ร่วงตามเป็นแถว
ขณะที่ตลาดหุ้นอังกฤษ สเปน อิตาลี ก็ร่วงไปประมาณ 4% ภายใน 1 วัน จนกระทั่งธนาคารกลางอังกฤษ ต้องจัดประชุมฉุกเฉินกับกลุ่มธนาคารกลางอื่น ๆ เพื่อหารือแนวทางที่จะดูแล
ทั้งนี้ แม้ เครดิต สวิส มีปัญหาเฉพาะในหลายเรื่อง ต่างจากธนาคารอื่น ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งกรณีของสหรัฐฯ และยุโรป บ่งชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางในระบบสถาบันการเงินโลกที่เพิ่มขึ้นมาก จากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเกินคาดมา 1 ปีเต็ม ของธนาคารกลาง ทำให้สถาบันการเงินจำนวนมากจัดการความเสี่ยงได้ไม่หมด มีความเสียหายซ่อนไว้ในพอร์ตพันธบัตรที่ถือจากการลงทุนที่ไปลงไว้ และยิ่งเมื่อเศรษฐกิจซบเซาลงจากหนี้เสียต่าง ๆ ก็จะอ่อนแอลงไปเพิ่มทำให้ทุกคนพร้อมวิ่ง เมื่อมีประเด็นเกิดขึ้น
ดังเช่นกรณี เครดิต สวิส เมื่อคืนนี้เริ่มจากการสัมภาษณ์ธรรมดา ๆ ที่ ธนาคารแห่งชาติซาอุดิฯ (Saudi National Bank) ตอบว่า ได้ลงทุนไปที่ 9.9% ของหุ้น เครดิต สวิส แล้ว หากเกิน 10% ก็จะเข้าสู่เกณฑ์ใหม่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถลงเงินเพิ่มได้ แต่ข่าวที่ออกมา พาดหัวว่า "ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ เครดิต สวิส ปฏิเสธที่จะลงเงินต่อ ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเพิ่ม" เนื่องจาก เครดิต สวิส มีแผลอยู่แล้ว คนจับตามองอยู่แล้ว มีปัญหาเกิดขึ้นเนื่อง ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่ตามมาจากคำพูดสั้นๆ ดังกล่าว จึงกลายเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เกินคาด สะเทือนไปทั่วโลก
แต่ท้ายสุด เนื่องจาก เครดิต สวิส ใหญ่เกินไป สำคัญเกินไป ให้ล้มไม่ได้ ทางการจึงต้องเข้ามาดูแลอย่างไม่มีทางเลือก โดยเมื่อคืนถือเป็นก้าวแรก ประกาศช่วยเรื่องสภาพคล่องต่อไป หากจำเป็น คงต้องประกาศอุ้มผู้ฝากให้ชัดเจน และท้ายสุด หากจำเป็นจริง ๆ คงต้องคิดหาทางออก เพื่อหาทางให้ เครดิต สวิส กลับมามีเงินทุนที่เข้มแข็งอีกครั้ง เพื่อให้ผ่านไปได้ แต่ล้มไม่ได้ ระหว่างทาง โลกก็จะพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย
กอบศักดิ์ กล่าวต่อว่า กรณี เครดิต สวิส คงไม่ใช่กรณีสุดท้าย โดยสถาบันการเงินต่าง ๆ คงก็จะต้องรับกับแรงกระแทกแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นไปอีกระยะ เพราะธนาคารกลางหลักหลายประเทศ ยังสู้ศึกเงินเฟ้อไม่จบ นำมาซึ่งบทใหม่ของ Perfect Storm ที่ลุกลามไปภาคสถาบันการเงิน ที่อ่อนไหว เปราะบางมากขึ้น ยิ่งข่าวสารสมัยนี้ ไปไว ธุรกรรมทางการเงินก็แค่ปลายนิ้วจิ้ม ในการถอนเงิน โอนเงิน ขายหุ้น เก็งกำไร ความปั่นป่วนต่า งๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย กระเทือนเป็นลูกโซ่ เป็นทอด ๆ รวมถึงประเทศไทย แต่ด้วยพื้นฐานของไทยเราที่ดีพอ เราน่าจะผ่านไปได้
โดยในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เครดิต สวิส ประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2015 ต่อเนื่องมาปี 2016 สาเหตุมาจากการตัดหนี้สูญของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ที่เป็นผลพวงมาจากวิกฤตซับไพร์ (subprime) ปี 2008 และ วิกฤตหนี้ยุโรป ในปี 2009
ขณะที่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยังเกิดกรณีการล้มลายของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ “อาร์คีกอส แคปิตอล” (Archegos Capital) ซึ่งเครดิต สวิส ได้ร่วมปล่อยกู้ให้กับกองทุนประกันความเสี่ยงรายนี้ไปลงทุน แต่กลับประสบปัญหาขาดทุนหนัก จนกระทบต่อผลประกอบการของธนาคารเอง