ธนาคารกลางหลายแห่ง ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบเดือน มี.ค. เพื่อปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูง โดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% สู่ระดับ 3.5% ส่วนธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.25% และธนาคารสหรัญอเมริกา หรือ เฟด (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.0%
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ECB และ BoE อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ ส่วนทางกับ เฟด กำลังเข้าสู่ปลายทางการขึ้นดอกเบี้ย
ซึ่งการที่ไม่สอดคล้องของนโยบายการเงิน อาจกดดันค่าเงินดอลลาร์ให้อ่อนค่าต่อเนื่อง และช่วยหนุนให้ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่า เอื้อต่อการที่เงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) จะไหลกลับเข้าไทย
วิกฤตแบงก์สหรัฐฯล้ม คาดยืดเยื้อฉุดเศรษฐกิจถดถอย กระทบไทยแค่ไหน?
ค่าเงินบาทเช้านี้ เปิดตลาด "แข็งค่า" รับแนวโน้มเฟดยุติขึ้นดอกเบี้ย
ทั้งนี้สัญญาณที่จะหนุนให้ Fund Flow ให้มีโอกาสชะลอการขายและไหลกลับมาที่ตลาดหุ้นไทย ประกอบด้วย
1.ดอกเบี้ยไทย ยังต่ำกว่ายุโรปและสหรัฐฯอยู่มาก โดยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 29 มี.ค.66 บล.บล.เอเซียพลัส คาดมีโอกาสคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% เพราะเงินเฟ้อไทยล่าสุดลดลงเหลือ +3.79% เข้าใกล้กรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระดับ 1-3% จึงทำให้ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของตลาดหุ้นและผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Market Earning Yield Gap) ของไทยดีกว่าประเทศอื่น ๆ ซึ่งในอีกความหมายหนึ่ง คือ มูลค่า (Valuation) ยังต่ำ หนุนให้เม็ดเงินลงทุนมีโอกาสไหลเข้ามาลงทุนมากขึ้น
2.ดอลลาร์อ่อนค่าลง หนุนให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ซึ่งต่างชาติมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่ม ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหนุนให้ Fund Flow ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย และเริ่มมีสัญญาณชะลอการขาย ล่าสุดวานนี้ (23 มี.ค.66) ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยสุทธิ 1,000 ล้านบาท
สำหรับวันนี้ บล.เอเซียพลัส ประเมินว่า ภาพรวมอยู่ในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ช่วยให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ดีดตัวขึ้นได้ แต่ระดับ 1,610 จุด ยังไม่น่าผ่านไปได้ง่าย และแนวรับอยูที่ 1,586 จุด
