พนง.สินเชื่อแบงก์ดัง หลอก 2 เพื่อนรัก ชวนลงทุนปล่อยเงินกู้ SME สูญ 20 ล้าน


โดย PPTV Online

เผยแพร่




ผู้เสียหาย 2 คน เข้าแจ้งความเอาผิดกับเพื่อนสนิทสมัยเรียน ที่เวลานี้เป็นพนักงานสินเชื่อธนาคารดัง ว่า ถูกหลอกให้ลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาหลักทรัพย์ค้ำประกันสินเชื่อให้กับลูกค้ากลุ่ม SME ด้วยสถานะของเพื่อนที่น่าเชื่อถือทำให้ทั้งคู่หลงเชื่อ และกำลังหมดเนื้อหมดตัว ด้วยมูลค่าความเสียหายรวมกันร่วม 20 ล้านบาท

จับ "ลูแปง ไต้หวัน" รายใหญ่ ผสม ค้า "เค นมผง" คาคอนโดหรู ผบ.ตร.เค้นเอง!

แชร์ดราม่า พนักงานแบงก์ เสียงดังใส่ลุงถอนเงิน 6 ล้าน

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  “น้ำผึ้ง” พร้อมสามี และ นางสาวกิ๊ก เดินทางเข้าแจ้งความที่ สน.ท่าข้าม โดยทั้งคู่ระบุว่า ถูกเพื่อนสนิท ซึ่งเป็นพนักงานสินเชื่อสังกัดสำนักงานใหญ่ ธนาคารดังแห่งหนึ่ง ชักชวนให้ร่วมลงทุนปล่อยเงินกู้ยืมเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ให้กับลูกค้าที่ประกอบธุรกิจขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ที่ต้องการยื่นเรื่องขอกู้เงินจากธนาคาร เพื่อนำเงินไปตกแต่งบัญชี ให้เข้าหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนดในการปล่อยเงินกู้ให้   โดยการแจ้งความในวันนี้เพื่อต้องการเอาผิด กับ นางสาว ก. เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน  ในข้อหาฉ้อโกง และ ปลอมแปลงเอกสารราชการ หลัง นางสาว ก.ไม่ยอมจ่ายเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย รวมมูลค่าความเสียหายเป็นเงินเกือบ 20 ล้านบาท ให้ตามที่ตกลงในการชักชวนลุงทุน จนหลงเชื่อ      

น้ำผึ้ง เล่าว่า ไม่คิดว่าจะถูก นางสาว ก. โกงเงิน เพราะเธอและนางสาวกิ๊ก เป็นเพื่อนสนิท กับนางสาว ก. มานาน  ไปกินข้าวด้วยกันบ่อย และนางสาว ก. รู้จักครอบครัวของเธอและครอบครัวของนางสาวกิ๊กเป็นอย่างดี มีปัญหาเรื่องส่วนตัวก็เล่าสู่กันฟังเสมอ โดยหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ก็มีแผนที่จะไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน 

จุดเริ่มต้นของการถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2562 น้ำผึ้ง เล่าว่า นางสาว ก. ได้ชักชวนให้ร่วมลงทุนในธุรกิจจัดหาสินเชื้อค้ำประกันให้กับลูกค้า SME ที่มากู้ยืมเงินกับธนาคาร ซึ่งมีเธอและเพื่อนในวงการธนาคารอีก 2 คน ร่วมกันเปิดบริษัทให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเงิน โดยมีลักษณะการให้บริการแบบ One Stop Service เช่น ลูกค้าต้องการกู้เงินกับธนาคาร 10 ล้านบาท ต้องมีเงินในบัญชีแสดงเป็นหลักค้ำประกันให้กับธนาคาร 8 ล้านบาท แต่ลูกค้ามีเงิน 6 ล้านบาท ขาด 2 ล้านบาท น.ส.ก. ก็จะมาชักชวนให้ น้ำผึ้ง นำเงินเก็บมาร่วมลงทุน เพื่อนำไปตกแต่งบัญชีให้กับลูกค้า  เพื่อให้เข้าเกณฑ์ของธนาคาร 

โดยมีค่าตอบแทนให้วันละ 1 เปอร์เซนต์ เช่น ลงทุนไป 100,000 บาท จะได้ดอกเบี้ยวันละ 1,000 บาท ช่วงแรกๆ เพื่อนคนนี้จะนำเงินไปหมุน และคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย ภายใน 3-5 วัน ต่อมา พอเห็นว่าได้เงินจริง และได้คืนตามกำหนด “น้ำผึ้ง” จึงได้ชวนให้คนในครอบครัว และ นางสาวกิ๊ก มาร่วมลงทุนด้วย

ต่อมาช่วงปี 2563 เพื่อนคนนี้อ้างว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับหลักเกณฑ์ใหม่ คนที่จะกู้เงินธนาคาร ต้องวางเงินค้ำประกันไว้ 15 วัน ก่อนธนาคารจะปล่อยกู้ให้ จึงทำให้ระยะเวลาที่จะได้เงินคืนล่าช้าออกไป โดยเพื่อนคนนี้ตกลงว่าจะจ่ายดอกเบี้ยให้ 10 วัน ในอัตราเท่าเดิม แต่พอจ่ายจริงเเค่ 0.8 เปอร์เซนต์ และเริ่มจ่ายแค่ดอกเบี้ย พอขอถอนเงินต้น นางสาว ก. ก็อ้างว่า ลูกค้าเยอะหากถอนเงินไปจะทำให้บริษัทขาดสภาพคล่อง

แต่พอปลายปี 2563 นางสาว ก. เริ่มไม่จ่ายทั้งเงินต้นและเงินดอก พอทวงถาม ก็อ้างว่าถูกกรมสรรพากรและสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงินและอายัดบัญชี ทำให้ไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ รวมถึงถูกลูกค้าฉ้อโกง เป็นที่มาที่ทำให้เกิดความสงสัยว่า กำลังถูกเพื่อนคนนี้โกงหรือไม่ จนกระทั่งน.ส.ก. รับสารภาพว่า เรื่องที่เกิดหลังจากเริ่มไม่ได้จ่ายเงินคืนเป็นเรื่องโกหก และอ้างว่าจะทยอยชดใช้เงินที่เหลือคืนให้ แต่ขอว่าอย่าแจ้งตำรวจ หรือ บอกนักข่าว ไม่เช่นนั้นจะตัวเองจะถูกติดแบล็กลิสต์ และหาเงินมาใช้คืนไม่ได้ ทำให้เธอกังวลว่าอาจจะไม่ได้เงินที่ครอบครัวตัวเองเสียไปกว่า 4 ล้านบาทคืน  ยังไม่นับเงินของ กิ๊ก เพื่อนอีกคน อีกจำนวน 16 ล้านบาท แต่เมื่อประเมินแล้วเชื่อว่า ไม่ได้คืนแน่ๆ  จึงตัดสินใจแจ้งความและบอกนักข่าวในที่สุด เพื่อหวังว่า จะทวงเงินมาคืนให้กับครอบครัวและเพื่อนสนิทอีกคนได้ 

ขณะที่ นางสาวกิ๊ก ที่เสียหายไปกว่า 16 ล้านบาท เล่าว่า หลังจับได้ว่านางสาว ก. โกหก ก็พบว่ามีผู้ใช้เฟซบุ๊กประมาณ 3-4 คน ล้วนเป็นคนที่เธอไม่เคยรู้จัก พยายามติดต่อมาหาตนมาทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่าต้องการคุยด้วย และยังทราบยอดเงินที่เสียไป ทั้งที่ตนไม่เคยบอกใคร จึงกังวลเรื่องความปลอดภัยและเชื่อว่าน่าจะมีบุคคลอื่น ทั้งที่เป็นพนักงานธนาคาร และ บุคคลทั่วไปร่วมขบวนการด้วย

สำหรับการแจ้งความวันนี้ ตำรวจ สน.ท่าข้าม ระบุว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ ดังนั้นจึงต้องโอนเรื่องไปยัง สน.บางขุนเทียน แทนทั้งนี้ น้ำผึ้ง ย้ำว่า ไม่มั่นใจว่าเงินที่ลงทุน สุดท้ายแล้วถูกนำไปใช้ทำอะไรกันแน่ เพราะข้อมูลที่เธอได้จากหนึ่งในหุ้นส่วนของ นางสาว ก. อ้างว่าลูกค้าที่เข้ามาติดต่อจริง มีประมาณ 8 เคส ไม่สอดคล้องกับท่าทีที่ นางสาว ก. พยายามแสดงให้เห็นว่ามีลูกค้าติดต่อเข้ามาตลอด จนทำให้หมุนเงินไม่ทัน จนทำให้ไม่มีเงินมาคืน ดังนั้นหากเป็นไปได้เธอจึงอยากให้ธนาคารต้นสังกัดตรวจสอบพฤติกรรมของพนักงานรายนี้ เพื่อไม่ให้คนอื่นตกเป็นเหยื่ออีก   

 

TOP อาชญากรรม
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ