พญ.คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ในฐานะกรรมาธิการฯและอดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เปิดเผยว่า การประชุมวันนี้เบื้องต้นจะเน้นไปที่การขอดูข้อมูลพยานหลักฐานต่างๆ ร่วมกับการใช้ พ.ร.บ.นิติวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นแนวทางในการรวบรวมพยานหลักฐาน ไม่ให้เกิดความสงสัยในสังคม และหารือประเด็นสิทธิของเหยื่อที่จะสามารถรับรู้ผลชันสูตรได้ เพราะถือเป็นสิทธิสากลตามหลักกฎหมาย
“เสรีพิศุทธ์”มั่นใจตร.ทำคดีแตงโมยึดตามหลักฐาน
กฟผ. ส่งภาพวงจรปิดคดีแตงโม ถึงมือจนท.แล้ว
เมื่อถามว่า พญ.คุณหญิงพรทิพย์ จะเข้ามามีร่วมชันสูตรรอบสองหรือไม่ พญ.คุณหญิง พรทิพย์ ระบุว่า ตามมารยาทส่วนตัวมองว่าไม่ควรที่จะเป็นคนลงมือผ่าศพรอบ2 ด้วยตัวเอง แต่ยังสามารถใช้ตำแหน่งและความรู้ในการเป็นที่ปรึกษา โดยมีหน้าที่เข้าไปช่วยสังเกตการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ต้องได้รับการอนุญาตจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ก่อน
พญ.คุณหญิง พรทิพย์ ยังย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ผลการชันสูตรรอบแรก หากชันสูตรอย่างละเอียดแล้ว ก็ถือว่าการชันสูตรรอบ2 ไม่จำเป็น ส่วนประเด็นที่จะชันสูตรรอบ2 หรือไม่นั้น คงจะต้องดูผลการชันสูตรรอบแรกให้ชัดเจนก่อนว่า
ขาดตกพกพร่องในประเด็นใดบ้าง โดยเฉพาะร่องรอยบาดแผลบนตัวศพ หากมีผลชันสูตรที่ชัดเจน ก็จะสามารถตอบได้ว่าเป็นอุบัติเหตุหรือไม่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเก็บหลักฐานในจุดเกิดเหตุ ซึ่งประเด็นนี้ยังคงสร้างความเคลือบแคลงสงสัยในสังคม
เบื้องต้นทางพญ.คุณหญิงพรทิพ์ ได้ประสานกับครอบครัวของแตงโม ว่าจะขอเข้าไปดูผลชันสูตรรอบแรก ที่โรงพยาบาลตำรวจ ในวันที่ 16 มี.ค.นี้
ขณะเดียวกันทาง กมธ.สิทธิมนุษยชนฯได้มีมติเห็นชอบในการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบคดีแตงโม โดยวางกรอบระยะเวลาในการทำงาน 1 เดือน
นายสมชาย แสวงการ ประธานคณะกรรมาธิการ สิทธิมนุษยชน เสรีภาพและคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า เบื้องต้นที่ประชุมมีมติเห็นตรงกันว่า ทาง กมธ. สามารถสืบสวนกรณีดังกล่าวได้ เพราะเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน และแม่ของแตงโมก็เป็นผู้แทนโดยชอบธรรม หลังยื่นเรื่องเข้าร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการชุดนี้
โดยเบื้องต้นได้กำหนดกลุ่มบุคคลที่จะต้องเรียกเข้ามาให้ข้อมูลต่อ กมธ. เป็น 3 กลุ่มประกอบด้วย1.กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจนนทุบรี 2.กลุ่มนิติเวช รพ.ตำรวจ และ 3.กลุ่มเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) โดยในวันจันทร์ที่ 21 มี.ค. จะเชิญทั้ง 3 ฝ่าย มาให้ข้อมูลต่อ กมธ. เป็นชุดแรก พร้อมยืนยันว่าการทำงานของ กมธ.จะไม่แทรกแซงการทำงานของตำรวจ โดยวางกรอบการทำงานเบื้องต้นเป็นเวลา 1 เดือน และเริ่มเรียกสอบพยานครั้งแรก ในวันที่ 21 มี.ค.นี้
นายสมชาย กล่าวต่อว่า ส่วนตัวไม่ได้ติดใจเรื่องการสอบสวนของตำรวจ แต่ในบางเรื่องก็สามารถเรียกเข้ามาชี้แจงในชั้นกรรมาธิการได้โดยไม่ต้องรอการสรุปในสำนวนคดี ซึ่งกรรมาธิการต้องการจะสอบถามเพื่อที่จะให้ในสำนวนมีความตรงไปตรงมา ยืนยันว่าไม่ใช่การไปแทรกแซงการทำสำนวนคดี นอกจากนี้ทาง กมธ. ยังมีอำนาจตั้งคณะทำงานเพื่อลงพื้นที่ไปตรวจสอบหรือร่วมสังเกตการณ์ได้เช่นกัน