หนึ่งในประเด็นสำคัญที่นายพงษ์ศิริ ปั้นประสงค์ หรือเสี่ยบี พร้อมภรรยา แถลงชี้แจงในวันนี้ คือ ที่มาของการตั้งเมาน์เทน บี โดยนางอนงค์นารถ ปั้นประสงค์ ภรรยาของเสี่ยบี ยืนยันว่า เธอและเสี่ยบี ดูแลกิจการที่นี่กันเอง 2 คน ไม่ได้มีแบ็กอัป หรือเส้นสายคนมีสีจริงๆ โดยทั้งคู่คบกันมาเป็น 10 ปี และช่วยกันทำงานเก็บเงินมาตลอด ตั้งแต่ร้านก๋วยเตี๋ยว ขายเสื้อผ้า จนมาสร้างธุรกิจร้านอาหารและเมาน์เทน บี แห่งนี้ แต่ส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนของพ่อเสี่ยบี และการกู้ยืมด้วย
แฉ! Mountain B ปิดตี 2 แต่เปิดนั่งดื่มต่อ
ตร.ชลบุรียันไม่พบผับ ‘เมาน์เทน บี’ เชื่อมโยงคนมีสี
ส่วนการขอใบอนุญาต ยืนยันว่า เดิมทีแจ้งเปิดเป็นร้านอาหาร มีดนตรี ขายแอลกอฮอลล์ แต่โดนร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่เรื่องเสียงดัง จึงมีการต่อเติมดัดแปลงอาคารเพื่อให้เก็บเสียง ซึ่งทั้งสองคนยืนยันว่า ไม่ทราบในเรื่องข้อกฎหมาย ว่าอาจเป็นความผิด จึงทำไปโดยไม่ได้ขออนุญาตหรือแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งทั้งคู่บอกว่าหากทราบว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็คงไม่ทำแน่นอน
โดยการแถลงวันนี้ทั้งคู่โดยเฉพาะเสี่ยบี มีท่าที เศร้าสลด สีหน้าเคร่งเครียดหลังกลับจากการไปให้ปากคำเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พลูตาหลวงมาตั้งแต่ช่วงบ่าย ซึ่งการชี้แจงส่วนใหญ่ในวันนี้เป็นภรรยาของเสี่ยบีที่คอยจัดการโดยมีทนายความนั่งประกบ ขณะเสี่ยบี พูดเพียงสั้นๆ ว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังได้ประกันตัวมาเมื่อวาน ก็พยายามเดินทางไปหาครอบครัวผู้เสียชีวิต เพื่อแสดงความเสียใจและเยียวยาอย่างเต็มที่ที่สุด ตอนนี้ยอมรับสภาพจิตใจย่ำแย่มาก เครียดกันมาก จนถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย คิดว่าตายคงดีกว่านี้ เพราะรับต่อสภาพนี้ไม่ไหว และคิดอยากจะไปบวช แต่ก็กลัวกระแสโจมตี ว่าบวชหนีปัญหาอีก
ส่วนข้อสังเกตการล็อกประตูของเมาน์เทนบี ภรรยาเสี่ยบี ระบุว่า ทางร้านตรวจเช็กเรื่องความปลอดภัยอย่างดีทุกครั้งก่อนเปิดร้าน ทั้งเรื่องทางเข้าออก มีการ์ด 8 คน ดูแล ซึ่งประตูเข้าออกได้ทั้ง 3 ด้าน โดยประตูด้านหลังจะล็อกเฉพาะตอนปิดร้าน แต่วันเกิดเหตุไม่ทราบจริงๆ ว่าล็อกหรือไม่ โดยยืนยันไม่เคยสั่งให้ล็อกแน่นอน ส่วนวันเกิดเหตุ ตัวเองอยากเข้าไปช่วยคนที่ติดอยู่ภายในด้วยซ้ำ แต่การ์ดห้ามไว้
ส่วนการเยียวยาผู้เสียหาย ก็จะดูแลเบื้องต้นก่อนทั้งครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ โดยยืนยันว่าจะทำอย่างสุดความสามารถ แม้จะไม่ได้มีเงินเก็บเป็นทุนสำรองมากมาย โดยหลังคดีความคืบหน้าชัดเจน คงต้องมาจัดการเรื่องร้าน ว่าจะเอาอย่างไรต่อ ซึ่งอาจจะต้องเปิดในส่วนของร้านอาหารด้านหน้าต่อ เนื่องจากต้องเลี้ยงดูพนักงานอีกกว่า 60 ชีวิตให้มีรายได้เลี้ยงครอบครัว จึงอยากขอความเห็นใจจากประชาชนทุกคน โดยเฉพาะชาวสัตหีบ ให้แยกแยะในเรื่องนี้ด้วย